tag:blogger.com,1999:blog-26754071442344243942024-03-04T21:29:13.699-08:00work_inloveWorky In Lovehttp://www.blogger.com/profile/13254019465241228333noreply@blogger.comBlogger15125tag:blogger.com,1999:blog-2675407144234424394.post-83967781824954887182011-12-14T00:09:00.000-08:002011-12-14T00:12:54.699-08:00แผนที่ท่องเที่ยวไทย<iframe marginheight="0" marginwidth="0" src="http://www.arcgis.com/home/webmap/templates/OnePane/basicviewer/embed.html?webmap=9b4585d444ec4f82901e4c17bed0f28b&gcsextent=80.4749,2.93,118.7512,25.5505&displayslider=true&displayscalebar=true&displaylegend=true&displaydetails=true&displaysearch=true" frameborder="0" height="600" scrolling="no" width="800"></iframe><br /><small><a href="http://www.arcgis.com/home/webmap/viewer.html?webmap=9b4585d444ec4f82901e4c17bed0f28b&extent=80.4749,2.93,118.7512,25.5505" style="color:#0000FF;text-align:left" target="_blank">View Larger Map</a></small>Worky In Lovehttp://www.blogger.com/profile/13254019465241228333noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2675407144234424394.post-36590422708476493742010-12-05T05:41:00.000-08:002011-02-09T06:26:53.683-08:00กฎหมายไทย<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh73Aezxw95qc9fwac5LAN7OZGl9eZNQsapB6u11wxmNN8eiwLRtmFdJoRxdZLUj2wayXXVpkXG6KyksjArzDnC5jDaN9nPkfGiGeG7oLpfSaeiZTm-t4oSaZZd5LFnICRktRgw90Av8-RI/s1600/31.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5547562834914167410" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 256px; CURSOR: hand; HEIGHT: 197px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh73Aezxw95qc9fwac5LAN7OZGl9eZNQsapB6u11wxmNN8eiwLRtmFdJoRxdZLUj2wayXXVpkXG6KyksjArzDnC5jDaN9nPkfGiGeG7oLpfSaeiZTm-t4oSaZZd5LFnICRktRgw90Av8-RI/s320/31.jpg" border="0" /></a> <span style="color:#33cc00;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff0000;">กฎหมาย (อังกฤษ: law) หมายถึง</span> กฎที่สถาบันหรือผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐตราขึ้น หรือที่เกิดขึ้นจากจารีตประเพณีอันเป็นที่ยอมรับนับถือ เพื่อใช้ในการบริหารประเทศ เพื่อใช้บังคับบุคคลให้ปฏิบัติตาม หรือเพื่อกำหนดระเบียบแห่งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือระหว่างบุคคลกับรัฐ</span></span><br /><span style="color:#33cc00;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff0000;">ความสำคัญของกฎหมาย</span><br />มนุษย์เป็นสัตว์สังคมอยู่ร่วมกันเป็นหมู่ เป็นเหล่า ความเจริญของสังคมมนุษย์นั้นยิ่งทำให้สังคมมีความ สลับซับซ้อน ตามสัญชาตญาณของมนุษย์แล้ว ย่อมชอบที่จะกระทำสิ่งใด ๆ ตามใจชอบ ถ้าหากไม่มีการ ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์แล้ว มนุษย์ก็จะกระทำในสิ่งที่เกินขอบเขต ยิ่งสังคมเจริญขึ้นเพียงใด วามจำเป็น ที่จะต้องมีมาตรฐานในการกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ ที่จะต้องถือว่าเป็นมาตรฐานอันเดียวกันนั้นก็ยิ่งมี มากขึ้น เพื่อใช้บังคับเป็นการทั่วไปแก่ทุกคนในลักษณะของกฎเกณฑ์และข้อบังคับต่าง ๆ ซึ่งจะกำหนด วิถีทางการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจนตาย กฎเกณฑ์และข้อบังคับหรือวิธีการควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์มีการพัฒนา และมีวิวัฒนาการต่อไป อย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้นเราจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากฎหมายไม่มีความจำเป็น และเกี่ยวข้องกับชีวิตคนเรา ในปัจจุบันนี้ กฎหมายได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเรามาก ตั้งแต่เราเกิดก็จะต้องแจ้งเกิดเพื่อขอสูติบัตร เมื่ออายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ ก็ต้องทำบัตรประจำตัวประชาชน จะสมรสกันก็ต้องจดทะเบียนสมรสจึงจะ สมบูรณ์และในระหว่างเป็นสามี ภรรยากันกฎหมายก็ยังเข้ามาเกี่ยวข้องไปถึงวงศาคณาญาติอีกหรือจน ตายก็ต้องมีใบตาย เรียกว่าใบมรณะบัตร และก็ยังมีการจัดการมรดกซึ่งกฎหมายก็ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง เสมอนอกจากนี้ในชีวิตประจำวันของคนเรายังมีความเกี่ยวข้องกับ ผู้อื่น เช่นไปตลาดก็มีการซื้อขายและ ต้องมี กฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องการซื้อขาย หรือการ ทำงานเป็นลูกจ้าง นายจ้างหรืออาจจะเป็น<br />ข้าราชการก็ต้องมีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา และที่เกี่ยวข้องกับชาติบ้านเมืองก็เช่นกัน ประชาชนมีหน้าที่ต่อบ้านเมืองมากมาย เช่น การปฏิบัติตนตามกฎหมาย หน้าที่ในการเสียภาษีอากร หน้าที่รับราชการทหาร สำหรับชาวไทย กฎหมายต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องก็มีมากมายหลายฉบัย เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายแรงงาน กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา "คนไม่รู้ กฎหมายไม่เป็นข้อแก้ตัว" เป็นหลักที่ว่า บุคคลใดจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อให้หลุดพ้นจากความผิด ตามกฎหมายมิได้ ทั้งนี้ ถ้าหากต่างคนต่างอ้างว่าตนไม่รู้กฎหมายที่ทำไปนั้น ตนไม่รู้จริง ๆ เมื่อกล่าวอ้าง อย่างนี้คนทำผิดก็คงจะรอดตัว ไม่ต้องรับผิด ไม่ต้องรับโทษกัน ก็จะเป็นการปิดหูปิดตาไม่อยากรู้กฎหมาย และถ้าใครรู้กฎหมายก็จะต้องมีความผิด รู้มากผิดมากรู้น้อยผิดน้อย ต่จะอ้างเช่นนี้ไม่ได้เพราะถือว่าเป็น หลักเกณฑ์ของสังคมที่ประชาชนจะต้องมีความรู้ เรียนรู้กฎหมาย เพื่อขจัดข้อปัญหาการขัดแย้ง ความ ไม่เข้าใจกัน ด้วยวิธีการที่เรียกว่า กฎเกณฑ์อันเดียวกันนั้นก็คือ กฎหมาย นั่นเอง</span></span> <div><div><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5547561993292548946" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 259px; CURSOR: hand; HEIGHT: 194px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwVqU8CmC7r5iVI0reWsdPTELprMIPtaS_mdgTnvasbZtN7kUWMGw33ao48_2yjSkwme1IugKbzdKPXaZLdEfLnTTHXIZEqF4zDHinhOg0NjGC_0T1-TfqsQZtzCMOfC65YXz8UukH1eE5/s320/3.jpg" border="0" /><br /><span style="font-size:130%;color:#33cc00;"><span style="color:#ff0000;">องค์ประกอบของกฎหมาย<br /></span><span style="color:#ffcc66;">(๑)</span> สถาบัน </span><br /><span style="font-size:130%;color:#33cc00;"><span style="color:#ffcc66;">(๒)</span> ตำแหน่ง </span><br /><span style="font-size:130%;color:#33cc00;"><span style="color:#ffcc66;">(๓)</span> หน้าที่ </span><br /><span style="font-size:130%;color:#33cc00;"><span style="color:#ffcc66;">(๔)</span> อำนาจ </span><br /><span style="font-size:130%;color:#33cc00;"><span style="color:#ffcc66;">(๕)</span> ความรับผิดชอบ<br /><span style="color:#00cccc;">“สถาบัน”</span> ได้แก่ ส่วนราชการ (สถานที่ทำงาน) ที่กฎหมายตั้งขึ้น เพื่อให้มีหน้าที่ และ อำนาจในการปฏิบัติราชการ หรือ ทำงานของรัฐบาล มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป ตามหน้าที่การงาน<br /><span style="color:#00cccc;">“ตำแหน่ง”</span> หมายความถึง ฐานะทางราชการ ของข้าราชการที่ปฏิบัติราชการในส่วนราชการต่างๆ มีหน้าที่ และ อำนาจ ตามที่กฎหมายกำหนด มีชื่อเรียกต่างๆกันไป เช่น<br /><span style="color:#00cccc;">“อำนาจ”</span> หมายความถึง<br />อิทธิพลที่จะบังคับให้ผู้อื่นต้องยอมทำตาม ไม่ว่าจะด้วยความสมัครใจหรือไม่.<br />ความสามารถบันดาลให้เป็นไปตามความประสงค์.<br /><span style="color:#00cccc;">"หน้าที่"</span> และ อำนาจ เป็นของคู่กัน และจะต้องเป็น หน้าที่ และ อำนาจตามกฎหมายเท่านั้น กฎหมายมักจะใช้เป็นคำรวมกันไป คือ “อำนาจหน้าที่”<br />กฎหมายจะกำหนด หน้าที่ และ อำนาจออกเป็น ๒ ประการ คือ อำนาจหน้าที่ของสถาบัน ที่เป็น ส่วนราชการ ซึ่งจะกำหนดไว้เป็นกรอบกว้างๆ กับ หน้าที่ และ อำนาจของบุคคล ที่เป็น ข้าราชการ หรือ เจ้าพนักงาน ที่ดำรงตำแหน่งต่างๆในส่วนราชการต่างๆ.<br />การปฏิบัติหน้าที่บางอย่างไม่ต้องใช้อำนาจ เช่น หน้าที่ทำความสะอาดสถานที่ราชการ หน้าที่ส่งเอกสาร หน้าที่ของพนักงานการพิมพ์หนังสือ เป็นต้น.<br /><span style="color:#00cccc;">“ความรับผิดชอบ”</span> หมายความถึง การยอมตามผลที่ดี หรือ ไม่ดีในกิจการ ที่ได้ทำไป.<br />แต่ เมื่อนำไปใช้ในกฎหมายที่กำหนดหน้าที่ของเจ้าพนักงานไว้ จะหมายความถึงความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ซึ่งหมายความถึงภาระหน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติงานในหน้าที่ให้สำเร็จ ลุล่วงไปด้วยดี เกิดประโยชน์ แก่ทางราชการ และปวงชนชาวไทย สมความมุ่งหมาย หรือ เป้าประสงค์ ของทางราชการ หากทำไม่สำเร็จ หรือ ทำแล้วเกิดความบกพร่องเสียหาย ก็ไม่ได้รับ ความดีความชอบ ซึ่ง อาจถูกโยกย้าย ให้พ้นจากหน้าที่ได้ หากเกิดความเสียหายเกินกว่าที่ควรจะเป็นตามความนิยม หรือ ความต้องการของสังคม หรือ ของบุคคลที่รู้ผิด รู้ชอบ ตามปกติ ที่ในทางกฎหมายใช้คำว่า "วิญญูชน" อาจต้องมีความผิดทางวินัย หรืออาจต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในฐานละเมิดได้ หากกระทำการใดๆอันเข้าลักษณะที่กฎหมายถือว่าเป็นการทำละเมิด ยิ่งกว่านั้น หากการกระทำเข้าลักษณะที่กฎหมายอาญา บัญญัติว่าเป็นความผิด และกำหนดโทษไว้ ก็ต้องรับโทษทางอาญาอีกด้วย</span> </div><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5547562396647941602" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 253px; CURSOR: hand; HEIGHT: 187px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-A5_NXggohSRjPLInoLg4JfdRZEaC3HX0XZ4ozMBup-yKLeB4VOVua7jfLDHWlQWdcyJ1YGsdhj2EYsNqe9F5gFpwAL6EkLlbu-1s1cmQnaB95mdwbkdoxxx6lxdJYirJb1FcfnRwO5Ba/s320/32.jpg" border="0" /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">ลำดับศักดิ์ของกฎหมาย </span><br /><span style="font-size:130%;color:#33cc00;">เป็นแนวความคิดทางกฎหมายของฝรั่งเศส ซึ่งกำหนดลำดับชั้นระหว่างกฎหมายประเภทต่างๆ ซึ่งทำให้ผู้มีอำนาจในการตรากฎหมายที่มีศักดิ์ด้อยกว่าต้องเคารพและไม่สามารถตรากฎหมายที่ละเมิดกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าได้<br />กฎหมายไทยได้นำเอาหลักดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ อาทิ พระราชบัญญัติจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีศักดิ์สูงกว่า ไม่ได้ หรือ พระราชบัญญัติจะต้องไม่มีเนื้อหาขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ เป็นต้น ดังที่ มาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 บัญญัติว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้<br />องค์กรหลักตามรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นผู้ดูแลความสอดคล้องของกฎหมายต่างๆ ต่อกฎหมายสูงสุดหรือรัฐธรรมนูญ คือศาลรัฐธรรมนูญ<br /><span style="color:#ffcc66;">ลำดับศักดิ์ของกฎหมายในระบบกฎหมายไทย<br /></span>ลำดับศักดิ์ของกฎหมายในระบบกฎหมายไทย แบ่งอย่างละเอียดเป็น 7 ชั้น ได้แก่<br /><span style="color:#ffcc66;">1.</span> รัฐธรรมนูญ<br /><span style="color:#ffcc66;">2.</span> พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ<br /><span style="color:#ffcc66;">3.</span> พระราชบัญญัติ<br /><span style="color:#ffcc66;">4.</span> พระราชกำหนด<br /><span style="color:#ffcc66;">5.</span> พระราชกฤษฎีกา<br /><span style="color:#ffcc66;">6.</span> กฎกระทรวง<br /><span style="color:#ffcc66;">7.</span> กฎหมายที่ตราโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น</span></div><div> </div><div><span style="font-size:130%;color:#66ffff;"><a href="http://www.exam.in.th/subject_detail.php?subject_id=3129&u=nirucha">คลิกเข้าทำแบบทดสอบ!!!</a></span></div><div><span style="font-size:130%;color:#33cc00;">จัดทำโดย น.ส.นิรุชา พูลสวัสดิ์ ม.4/4 เลขที่ 24</span></div></div></div>Worky In Lovehttp://www.blogger.com/profile/13254019465241228333noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2675407144234424394.post-21244749433598898592010-09-07T18:53:00.000-07:002010-09-12T07:29:08.786-07:00การจัดบริหารราชการแผ่นดิน<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQVMUGbbPXVwRCfKbUYw0f4fOQCHRpJeWNtr1Nmb3UGDZ2V0zksnXVhtdmLj_e2IU5gmQQR4iocI1Qze_7dL4uVcbw8aEQe8k8U3fuKO5aegzt3wIi44zs3HIi7jlGVHXBadnmPRKGczqe/s1600/51.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5516033791581796722" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 126px; CURSOR: hand; HEIGHT: 78px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQVMUGbbPXVwRCfKbUYw0f4fOQCHRpJeWNtr1Nmb3UGDZ2V0zksnXVhtdmLj_e2IU5gmQQR4iocI1Qze_7dL4uVcbw8aEQe8k8U3fuKO5aegzt3wIi44zs3HIi7jlGVHXBadnmPRKGczqe/s320/51.jpg" border="0" /></a><br /><div></div><br /><div><span style="color:#ff0000;"><span style="color:#3333ff;">ระบบการบริหารราชการแผ่นดิน</span><br />ประเทศ ทุกประเทศจะต้องจัดการเรื่องระเบียบการปกครอง การบริหารงานระหว่างรัฐกับประชาชน เพื่อให้เกิดความสงบสุขและความสะดวกให้แก่ประชาชน รัฐจึงออกกฎหมายการปกครองออกมาใช้บังคับประชาชน<br /><span style="color:#3333ff;">ความหมายของกฎหมายการปกครองในที่นี้</span> หมายถึง กฎหมายที่วางระเบียบการบริหารภายในประเทศ โดยวิธีการแบ่งอำนาจการบริหารงานตั้งแต่สูงสุดลงมาจนถึงระดับต่ำสุด เป็นการกำหนดอำนาจและหน้าที่ของราชการผู้ใช้อำนาจฝ่ายบริหาร<br /></span><span style="color:#ff0000;">โดย หลักทั่วไปทางวิชาการกฎหมายการปกครอง ได้จัดระเบียบการปกครองประเทศหรือที่เรียกว่า จัดระเบียบราชการบริหาร <span style="color:#3333ff;">แบ่งออกเป็น 2 ประเภท</span> คือ<br /><span style="color:#33ff33;">การปกครองแบบรวมอำนาจปกครอง (Centralization)<br />การปกครองแบบกระจายอำนาจปกครอง (Decentralization)<br /></span><span style="color:#ffcc33;">การปกครองแบบรวมอำนาจปกครอง (Centralization) หมายถึง</span> การจัดระเบียบการปกครอง โดยรวมอำนาจการปกครองทั้งหมดไว้ที่ส่วนกลาง พนักงานเจ้าหน้าที่ในส่วนกลางและต่างจังหวัดไดรับการแต่งตั้งถอดถอนและ บังคับบัญชาจากส่วนกลางเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายที่ส่วนกลางกำหนด ขึ้น เช่น การปกครองที่แบ่งส่วนราชการออกเป็น กระทรวง ทบวง กรม จังหวัด เป็นต้น<br /><span style="color:#ffcc33;">การปกครองแบบกระจายอำนาจปกครอง (Decentralization) หมายถึง</span> การจัดระเบียบการ ปกครองโดยวิธีการยกฐานะท้องถิ่นหนึ่งขึ้นเป็นนิติบุคคลแล้วให้ท้องถิ่นนั้น ดำเนินการปกครองตนเองอย่างอิสระโดยการบริหารส่วนกลางจะไม่เข้ามาบังคับบัญชา ใด ๆ นอกจากคอยดูแลให้ท้องถิ่นนั้นดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ภายในขอบเขต ของกฎหมายจัดตั้งท้องถิ่นเท่านั้น เช่น การปกครอง<br />ของเทศบาลในจังหวัดต่าง ๆ เทศบาลกรุงเทพมหานคร หรือองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นต้น<br /></span><span style="color:#ff0000;">กฎหมายการปกครองที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทย ได้ใช้รูปแบบการปกครอง ทั้งประเภทที่กล่าวมาแล้ว คือ ใช้ทั้งแบบรวมอำนาจและกระจายอำนาจ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับการปฎิบัติงานของราชการ ให้มีสมรรถภาพ การกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการต่างๆให้ชัดเจน เพื่อมิให้มีการปฎบัติงานที่ซ้ำซ้อนระหว่างส่วนราชการต่างๆและเพื่อให้การ บริหารในระดับต่างๆมีเอกภาพสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาล กำหนดได้ดี<br />ดังนั้น รัฐบาลจึงออกกฎหมายการปกครองขึ้นมา คือ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และฉบับที่ 5 พ.ศ.2545และพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 พอสรุปดังนี้<br /><span style="color:#3333ff;">ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน คือ</span> กติกาที่ยอมรับเป็นบรรทัดฐาน เพื่อให้การบริหารราชการมุ่งไปสู่เป้าหมายที่ต้องการกฎหมายว่าด้วยระเบียบ บริหารราชการแผ่นดิน มีที่มาจากแหล่งต่าง ๆ อันได้แก่ ขนบธรรม-เนียมการปกครอง รัฐธรรมนูญและความจำเป็นในการบริหารงานเพื่อแก้ไขสถานการณ์การจัดระเบียบ บริหารราชการแผ่นดิน <span style="color:#3333ff;">แบ่งเป็น 3 ส่วน</span> คือ<br /></span><span style="color:#ffcc33;">ระเบียบบริหารราชการส่วนกลางระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค<br />ระเบียบบริหารราชการส่วนท้อง</span><span style="color:#ffcc33;">ถิ่น</span><br /></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5516033532927336770" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 104px; CURSOR: hand; HEIGHT: 97px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhx4xhyphenhyphenL3x-GpMw8mCggP9_FH_rJXZztXKMjm86Q1WbvNqC6QaC2mhLQz-TALFw1vD7cIBlAP86Lvxl7jNJO5lfIyI_QPygKUM1N68YP5Th3vJ_wHiFQxLBAxobrjeGEoSY-DwBjYdCLJUU/s320/56.jpg" border="0" /><span style="color:#ff0000;"><span style="color:#33ff33;">การบริหารราชการส่วนกลาง<br /></span>การบริหารราชการส่วนกลางหมายถึง หน่วยราชการจัดดำเนินการและบริหารโดยราชการของ ส่วนกลางที่มีอำนาจในการบริหารเพื่อสนองความต้องการของประชาชน จะมีลักษณะการปกครองแบบรวมอำนาจ หรือมีความหมายว่า เป็นการรวมอำนาจในการสั่งการ การกำหนดนโยบายการวางแผน การควบคุมตรวจสอบ และการบริหารราชการสำคัญ ๆ ไว้ที่นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีและกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ตามหลักการรวมอำนาจ การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง <span style="color:#00cccc;">จัดแบ่งออกได้ดังนี้</span><br /><span style="color:#00cccc;">สำนักนายกรัฐมนตรี<br />กระทรวง หรือทบวงที่มีฐานะเทียบเท่า กระทรวง<br />ทบวง สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวง<br />กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นมีฐานะเป็นกรม ซึ่งสังกัดหรือไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง</span><br />การจัดตั้ง ยุบ ยกเลิก หน่วยงาน ตามข้อ 1- 4 ดังกล่าวนี้ จะออกกฎหมายเป็น พระราชบัญญัติและมีฐานะเป็นนิติบุคคล<br />ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ได้จัดแบ่ง กระทรวง และส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกระทรวง รวม 20 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธรณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม<br /><span style="color:#ffcc00;">สำนัก นายกรัฐมนตรี</span> มีฐานะเป็นกระทรวง อยู่ภายใต้การปกครองบังคับบัญชาของนากยรัฐมนตรี ทำหน้าที่เป็นเครี่องของนากยรัฐมนตรีในเรื่องที่เป็นหัวใจของการบิหารราชการ หรือเกี่ยวกับราชการทั่วไปของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี กิจการเกี่ยวกับการทำงบประมาณแผ่นดินและราชการอื่น ตามที่ได้มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของสำนักนายกรัฐมนตรี หรือส่วนราชการซึ่งสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีหรือส่วนราชการอื่น ๆ ซึ่งมิได้อยู่ภายในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งโดยเฉพาะ<br />สำนัก นายกรัฐมนตรีมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและกำหนดนโยบายของ สำนักนายกรัฐมนตรีให้สอดคล้องกันนโยบายที่คณะรัฐมนตรีกำหนดหรืออนุมัติและ รับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของสำนักนายกรัฐมนตรี และจะให้มีรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีหรือทั้งรอง นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติก็ ได้ <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5516032447576556066" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 136px; CURSOR: hand; HEIGHT: 102px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghl5AjOecztohYZgawkKS5JYtjykk1Ylf-UgYNBa2OthMmS8M9pP90sOLEh9Lb1a0VziQ6j5VNQxZmT7ZzBLKQTU_7uIzK1V5g_NIfkpgNeCWoSCUc2vJmuKTBffxpFhHZ6YoE3eqwu5Zg/s320/52.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#ffcc00;">กระทรวง หมายถึง</span> ส่วนราชการที่แบ่งออกเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ที่สุด รับผิดชอบงานที่กำหนดในพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งทำหน้าที่จัดทำนโยบายและแผน กำกับ เร่งรัด และติดตามนโยบาย และแผนการปฏิบัติราชการกระทรวง จะจัดระเบียบบริหารราชการโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้มีสำนักนโยบายและแผน เป็นส่วนราชการภายในขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวง<br />กระทรวง หนึ่งๆมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและกำหนดนโยบาย ของกระทรวงให้สอดคล้องกับนโยบายที่คณะรัฐมนตรีกำหนดหรืออนัมัติและรับผิดชอบ ในการปฏิบัติราชการของกระทรวง และจะให้มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติราชการก็ได้ ให้มีปลัดกระทรวงมีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมราชการประจะในกระทรวง เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการประจำในกระทรวงจากรับมนตรี โดยมีรองปลัดกระทรวงหรือผู้ช่วยปลัดกระทรวงเป็นผู้ช่วยสั่งการและปฏิบัติ ราชการแทน <span style="color:#ffcc00;">การจัดระเบียบราชการของกระทรวง ดังนี้<br /></span><span style="color:#33ff33;">(1) สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี<br />(2) สำนักงานปลัดกระทรวง<br />(3) กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น เว้นแต่บางทบวงเห็นว่าไม่มีความจำเป็นจะไม่แยกส่วนราชการตั้งขึ้นเป็นกรมก็ได้<br /></span><span style="color:#ffcc33;">ทบวง </span>เป็นหน่วยงานที่เล็กกว่ากระทรวง แต่ใหญ่กว่า กรม ตามพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 25 ว่า ราชการส่วนใดซึ่งโดยสภาพและปริมาณของงานไม่เหมาะสมที่จะจัดตั้งเป็นกระทรส งหรือทบวง ซึ่งเทียบเท่ากระทรวงจะจัดตั้งเป็นทบวงสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวง เพื่อให้มีรัฐมนตรีว่าการทบวงเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและมีรัฐมนตรีช่วย ว่าการทบวงและมีปลัดทบวง ซึ่งรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของทบวงก็ได้และมีอำนาจหน้าที่กำหนดไว้ใน <span style="color:#33ff33;">กฏหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม การจัดระเบียบราชการในทบวง มีดังนี้<br /></span><span style="color:#ffcc00;">(1) สำนักเลขานุการรัฐมนตรี<br />(2) สำนักงานปลัดทบวง<br />(3) กรมหรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นให้ส่วนราชการตาม (2) (3) มีฐานะเป็น กรม<br /></span><span style="color:#3366ff;">กรม หมายถึง</span> เป็นส่วนราชการที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงหรืออาจเป็นส่วนราชการอิสระ ไม่สังกัดกระทรวงหรือทบวงอยู่ใต้การบังคับบัญชา ของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการทรวงคนใดคนหนึ่งให้แบ่งส่วนราชการดังนี้<br />(1) สำนักงานเลขานุการกรม<br />(2) กองหรือส่วนราชการที่มีฐานะเทียบกอง เว้นแต่บางกรมเห็นว่าไม่มีความจำเป็นจะไม่แยกส่วนราชการตั้งขึ้นเป็นกองก็ได้<br />กรม ใดมีความจำเป็น จะแบ่งส่วนราชการโดยให้มีส่วนราชการอื่นนอกจาก (1) หรือ (2) ก็ได้ โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา กรมมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการส่วนใดส่วนหนึ่งของกระทรวง หรือทบวงหรือทบวงตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการของกรมหรือตาม กฏหมายว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของกรมนั้น<br /><span style="color:#3366ff;">กรม </span>มีอธิบดีเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของกรม ให้เป็นไปตามนโยบายแนวทางและแผนการปฏิบัติราชการของกระทรวง และในกรณีที่มีกฏหมายอื่นกำหนดอำนาจหน้าที่ของอธิบดีไว้เป็นการเฉพาะ การอำนาจและการปฏิบัติหน้าที่ตามกฏหมายดังกล่าวให้คำนึงถึงนโยบายที่คณะ รัฐมนตรีกำหนดหรืออนุมัติและแนวทางและแผนการปฏิบัติราชการของกระทรวง<br />ปัจจุบัน มีส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงหรือทบวง มี 9 ส่วนราชการมีฐานะเป็นกรม คือ สำนักพระราชวัง สำนักราชเลขาธิการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ราชบัณฑิตยสถานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและสำนักงานอัยการสูงสุดอยู่ภายใต้การ บังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5516032548031156802" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 131px; CURSOR: hand; HEIGHT: 83px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiz90g0Puc4wzm0_FEqCaAnb8uye3fVd3uLJPsTfequDqiBtLACpkLBzRseblhyBy1JWcf5r_ad7wosepGaZBQWMFfV2APgVsRruTLurIe8N1Ug5ZAnJqucb2hksPMqEdycZXgWe4WrFxYx/s320/53.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#3366ff;">การ ปฏิบัติราชการแทน อำนาจในการสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติการปฏิบัติราชการ หรือการดำเนินการใดที่ผู้ดำดงตำแหน่งใดพึงปฏิบัติตามกฎหมาย ถ้ากฎหมายมิได้กำหนดเรื่องการมอบอำนาจไว้ ผู้ดำรงตำแหน่งนั้นอาจมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่น ปฏิบัติราชการแทนได้ดังตัวอย่าง</span><br />1. นายกรัฐมนตรีมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี<br />2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาจมอบอำนาจให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัดผู้รับมอบจะมอบต่อไปไม่ได้เว้นแต่ผู้ว่าราชการจัวหวัดจะ มอบต่อในจังหวัด อำเภอก็ได้<br />การรักษาราชการแทน ผู้ที่ได้รับอำนาจจะมีอำนาจเต็มตามกฎหมายทุกประการ ตัวอย่าง<br />1.นายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการไม่ได้ให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงรักษาราชการแทน<br />2. ไม่มีปลัดกระทรวงหรือมี แต่มาปฏิบัติราชการไม่ได้ ให้รองปลัดฯ ข้าราชการไม่ต่ำกว่าอธิบดีรักษาราชการแทน<br />3. ไม่มีอธิบดีหรือมีแต่มาปฏิบัติราชการไม่ได้ ให้รองอธิบดี ผู้อำนวยการกองรักษาราชการแทน เป็นต้น<br /><span style="color:#33ff33;">การบริหารราชการส่วนภูมิภาค</span><br /><span style="color:#33ff33;">การ บริหารราชการส่วนภูมิภาคหมายถึง</span> หน่วยราชการของกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ซึ่งได้แบ่งแยกออกไปดำเนินการจัดทำตามเขตการปกครอง โดยมีเจ้าหน้าที่ของทางราชการส่วนกลาง ซึ่งได้รับแต่งตั้งออกไปประจำตามเขตการปกครองต่าง ๆ ในส่วนภูมิภาคเพื่อบริหารราชการภายใต้การบังคับบัญชาของราชการส่วนกลางโดยมี การติดต่อกันอย่างใกล้ชิดเพราะถือเป็นเพียงการแบ่งอำนาจการปกครองออกมาจาก การบริหารส่วนกลาง<br />การ บริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นการบริหารราชการตามหลักการแบ่งอำนาจโดยส่วนกลาง แบ่งอำนาจในการบริหารราชการให้แก่ภูมิภาค อันได้แก่จังหวัด มีอำนาจในการดำเนินกิจการในท้องที่แทนการบริหารราชการส่วนกลาง<br />ลักษณะ การแบ่งอำนาจให้แก่การบริหารราชการส่วนภูมิภาค หมายถึง การมอบอำนาจในการตัดสินใจ วินิจฉัย สั่งการให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ไปประจำปฏิบัติงานในภูมิภาค เจ้าหน้าที่ในว่าในภูมิภาคให้อำนาจบังคับบัญชาของส่วนกลางโดยเฉพาะในเรื่อง การแต่งตั้งถอดถอนและงบประมาณซึ่งเป็นผลให้ส่วนภูมิภาคอยู่ใการควบคุมตรวจ สอบจากส่วนกลางและส่วนกลางอาจเรียกอำนาจกลับคืนเมื่อใดก็ได้<br />ดังนั้นในทางวิชาการเห็นว่าการปกครองราชการบริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจึงเป็นการปกครองแบบรวมอำนาจปกครอง <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5516032633152766594" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 134px; CURSOR: hand; HEIGHT: 101px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgGu7DW5jWzMciAyat_yRddxUG8ATGCoJNPxd7l1p2BW8HRuK983GIclW-VJrXxQXGptja8ZwNox4BmmB8lSTkE5-DVSwg_VAE5eFyeE0VEVBUfOzZsSIdzvSf0EhaydHyfuCiX6Iifi1AM/s320/54.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#ff9900;">การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค จัดแบ่งออกได้ดังนี้<br /></span><span style="color:#ffcc33;">1. จังหวัด</span> เป็นหน่วยราชการที่ปกครองส่วนภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุด มีฐานะเป็นนิติบุคคลประกอบขึ้นด้วยอำเภอหลายอำเภอหลาย อำเภอ การตั้ง ยุบและเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นกฎหมายพระราชบัญญัติ<br />ใน จังหวัดหนึ่ง ๆ มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับนโยบายและคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีในฐานะหัว หน้ารัฐบาล คณะรัฐมนตรี กระทรวง และกรม มาปฏิบัติการให้เหมาะสมกับท้องที่และประชาชนและเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดใน บรรดาข้าราชการฝ่านบริหารส่วนภูมิภาคในเขตจังหวัดที่รับผิดชอบ อาจจะมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดหรือ ผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งสังกัดกระทรวงมหาดไทย<br />ผู้ ว่าราชการจังหวัด มีคณะปรึกษาในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้นเรียกว่า คณะกรมการจังหวัดประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนึ่งคนตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย ปลัดจังหวัด อัยการจังหวัดซึ่งเป็นหัวหน้าที่ทำการอัยการจังหวัด รองผู้บังคับการตำรวจซึ่งทำหน้าที่หัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดหรือผู้กำกับการ ตำรวจภูธรจังหวัด แล้วแต่กรณีและหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดจากกระทรวงและทบวงต่าง ๆ เว้นแต่กระทรวงมหาดไทยซึ่งประจำอยู่ในจังหวัด กระทรวง และทบวงละหนึ่งคนเป็นกรมการจังหวัด และหัวหน้าสำนักงานจังหวัดเป็นกรมการจังหวัดและเลขานุการ<br />ให้<span style="color:#ff9900;">แบ่งส่วนราชการของจังหวัด ดังนี้<br /></span><br /><span style="color:#ff9900;">(1)</span> สำนักงานจังหวัด มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปและการวางแผนพัฒนาจังหวัดของจังหวัดนั้นมี หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบในการ ปฏิบัติราชการของสำนักงานจังหวัด<br /><span style="color:#ff9900;">(2)</span> ส่วนต่าง ๆ ซึ่งกระทรวง ทบวง กรม ได้ตั้งขึ้น มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวง ทบวง กรมนั้นๆ มีหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดนั้นๆเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชารับผิดชอบ<br /><span style="color:#cc66cc;">2. อำเภอ</span> เป็นหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาครองจากจังหวัด แต่ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลเหมือนจังหวัด การจัดตั้ง ยุบเลิกและเปลี่ยนแปลงเขตอำเภอ กระทำได้โดยตราเป็น พระราชกฤษฎีกา มีนายอำเภอเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาข้าราชการในอำเภอ และรับผิดชอบการบริหารราชการของอำเภอ นายอำเภอสังกัดกระทรวงมหาดไทย และให้มีปลัดอำเภอและหัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอซึ่งกระทรวงต่าง ๆส่งมาประจำให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือ การแบ่งส่วนราชการของอำเภอ มีดังนี้<br /><span style="color:#cc66cc;">(1)</span> สำนักงานอำเภอ มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปของอำเภอนั้น ๆ มีนายอำเภอเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบ<br /><span style="color:#cc33cc;">(2)</span> ส่วนต่าง ๆ ซึ่งกระทรวง ทบวง กรมได้ตั้งขึ้นในอำเภอนั้น มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวง ทบวงกรมนั้น ๆ มีหัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอนั้น ๆ เป็นผู้ปกครองบังคับบัญชารับผิดชอบ<br /><span style="color:#33ff33;">การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น<br /></span>การ บริหารราชการส่วนท้องถิ่นหมายถึง กิจกรรมบางอย่างซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้ท้องถิ่นจัดทำกันเอง เพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชนในท้องถิ่นนั้น ๆ โดยเฉพาะโดยมีเจ้าหน้าที่ซึ่งราษฎรในท้องถิ่นเลือกตั้งขึ้นมาเป็นผู้ดำเนิน งานโดยตรงและมีอิสระในการบริหารงาน<br />อาจกล่าว ได้ว่าการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น เป็นการบริหารราชการตามหลักการกระจายอำนาจ กล่าวคือ เป็นการมอบอำนาจให้ประชาชนปกครองกันเอง เพื่อให้ประชาชนเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และรู้จักการร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เป็นการแบ่งเบาภาระของส่วนกลาง และอาจยังประโยชน์สุขให้แก่ประชาชนในท้องที่ได้มากกว่า เพราะประชาชนในท้องถิ่นย่อมรู้ปัญหาและความต้องการได้ดีกว่าผู้อื่น<br /><span style="color:#33ff33;">การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น มีดังนี้<br /></span><span style="color:#ff6600;">องค์การบริหารส่วนจังหวัด<br />เทศบาล<br />สุขาภิบาล<br /></span><span style="color:#cc6600;">ราชการส่วนท้องถิ่นอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนด ได้แก่ สภาตำบลองค์การบริหารตำบลกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา</span> </span><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5516032729388264114" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 155px; CURSOR: hand; HEIGHT: 81px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQtWzXMNAVgZCEFSauo6CROS1pvdY9Hj1rYBEBndJ-yiZwF1GvDCEEcRYuqFRuFwZwpadC-SPDndCEk3tV3ELUznddx5RzYCdkxxnY9fnqyrx9PjRSIHeMfKAt16evsbKgn-WPzIIrTcyj/s320/55.jpg" border="0" /><span style="color:#ff0000;"><span style="color:#999900;">องค์การบริหารส่วนจังหวัด</span><br />เป็น การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นในจังหวัดที่อยู่นอกเขตเทศบาลและสุขาภิบาล มีฐานะเป็นนิติบุคคล ดำเนินกิจการส่วนจังหวัดแยกเป็นส่วนต่างหากจากการบริหารราชการส่วนภูมิภาคใน รูปของจังหวัด ในจังหวัดหนึ่งจะมีองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง<br />องค์การบริหารส่วนจังหวัด <span style="color:#999900;">ประกอบด้วย<br /></span></span><span style="color:#999900;">สภาจังหวัด<br />ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้ดำเนินกิจการส่วนจังหวัด<br />เทศบาล<br /></span><span style="color:#ff0000;">เป็น องค์การทางการเมืองที่ดำเนินกิจการอันเป็นผลประโยชน์ของประชาชนในเขตท้อง ถิ่นนั้น ๆ การจัดตั้งเทศบาลทำได้โดยการออกพระราชกฤษฎีกายกท้องถิ่นนั้น เป็นเทศบาลตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 แบ่งเทศบาลออกเป็น<br /><span style="color:#999900;">1.</span> เทศบาลตำบล เทศบาลประเภทนี้ไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์การจัดตั้งไว้โดยเฉพาะ แต่อยู่ในดุลยพินิจของรัฐ<br /><span style="color:#999900;">2.</span> เทศบาลเมืองได้แก่ท้องถิ่นอันเป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัดหรือท้องถิ่น ชุมชนที่มีราษฎรตั้งแต่ หนึ่งหมื่น คนขึ้นไป โดยมีความหนาแน่นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า <span style="color:#ff0000;">3,</span>000 คน ต่อ 1 ตารางกิโลเมตร<br /><span style="color:#999900;">3.</span> เทศบาลนครได้แก่ท้องถิ่นที่มีประชาชนตั้งแต่ ห้าหมื่นคน ขึ้นไป และมีความหนาแน่นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3,000 คน ต่อ 1 ตารางกิโลเมตร ปัจจุบันมีเทศบาลนครเพียงแห่งเดียว คือ เทศบาลนครเชียงใหม่<br /><span style="color:#009900;">องค์ประกอบของเทศบาล ประกอบด้วย</span><br /><span style="color:#009900;">1.</span> สภาเทศบาล ประกอบด้วยสมาชิกที่ประชาชนเลือกตั้งขึ้นมาเป็นผู้แทน ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของคณะเทศมนตรี<br /><span style="color:#009900;">2.</span> คณะเทศมนตรี ทำหน้าที่บริหารกิจการของเทศบาล มีนายกเทศมนตรีเป็นหัวหน้า การแต่งตั้งคณะเทศมนตรีกระทำโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แต่งตั้งสมาชิก สภาเทศบาลเป็นคณะเทศมนตรี ด้วยความเห็นชอบของสภาเทศบาล<br /><span style="color:#009900;">3.</span> พนักงานเทศบาล เป็นผู้ปฏิบัติงานของเทศบาล โดยมีปลัดเทศบาลเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบในงานทั่วไปของเทศบาล<br /><span style="color:#999900;">องค์การ บริหารส่วนตำบล (อบต.)</span> คือ หน่วยการปกครองท้องถิ่นที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นราชการส่วนท้องถิ่นโดย ประชาชนมีอำนาจตัดสินใจในการบริหารงานของตำบลตามที่กฏหมายกำหนดไว้<br /><span style="color:#9999ff;">อบต. ประกอบด้วย</span><br /><span style="color:#9999ff;">1.</span> สภาองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งมี กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้านและแพทย์ประจำตำบล ราษฎรหมู่บ้านละ 2 คน<br /><span style="color:#9999ff;">2.</span> คณะกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนตำบล ประกอบด้วย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน 2 คนเลือกจากสมาชิกองค์การฯอีก 4 คน ประธานกรรมการบริหารและเลขานุการกรรมการบริหาร<br /><span style="color:#9999ff;">อบต. มีหน้าที่ต้องทำในเขตอบต. ดังนี้<br /></span><span style="color:#9999ff;">(1)</span> ให้มีและบำรุงรักษาทางน้ำและทางบก<br /><span style="color:#9999ff;">(2)</span> รักษาความสะอาดของถนน ทางน้ำ ทางเดินและที่สาธารณะรวมทั้งกำจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล<br /><span style="color:#9999ff;">(3)</span> ป้องภัยโรคและระงับโรคติดต่อ<br /><span style="color:#9999ff;">(4)</span> ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br /><span style="color:#9999ff;">(5)</span> ส่งเสริมการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม<br /><span style="color:#9999ff;">(6)</span> ส่งเสริมการพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุและผู้พิการ<br /><span style="color:#9999ff;">(7)</span> คุ้มครอง ดูแลและบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม<br /><span style="color:#9999ff;">(8)</span> ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ทางราชการมอบหมาย<br /><span style="color:#999900;">การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นรูปพิเศษ</span><br />นอก เหนือจากหลักการโดยทั่วไปของการจัดให้มีการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นในรูป ที่กล่าวมาแล้ว รัฐบาลได้จัดให้มีการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษเพื่อให้เหมาะสม กับความสำคัญทางสังคมและเศรษฐกิจของชุมชนเฉพาะแห่ง ปัจจุบันมีการจัดให้มีการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นรูปพิเศษ <span style="color:#ff99ff;">2 แห่ง คือ</span><br /><span style="color:#ff99ff;">การบริหารราชการกรุงเทพมหานคร<br />การบริหารราชการเมืองพัทยา<br /></span><span style="color:#33ffff;">การบริหารราชการกรุงเทพมหานคร</span><br />พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 กำหนดให้กรุงเทพมหานครประกอบด้วย<br />ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร<br />สภากรุงเทพมหานคร<br /><span style="color:#33ffff;">ผู้ ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร</span> ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารกรุงเทพมหานคร มีผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร 1 คน และรองผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ไม่เกิน 4 คน ทั้งผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร และรองผู้ว่าราชการ กทม. เป็นข้าราชการการเมือง และได้รับเลือกตั้งจากประชาชนในกรุงเทพมหานคร<br /><span style="color:#33ffff;">สภา กทม.</span> ทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ควบคุมการบริหารราชการของผู้ว่าราชการ กทม. สภา กทม. ประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน โดยถือเกณฑ์จำนวนประชาชน 1 แสนคนต่อสมาชิก 1 คน<br />ปลัด กรุงเทพมหานคร มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายกำหนด และตามคำสั่งของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และรับผิดชอบดูแลราชการประจำของกรุงเทพมหานครให้เป็นไปตามนโยบายของกรุงเทพ มหานคร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจและหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติงาน ของกรุงเทพมหานคร<br /><span style="color:#ff99ff;">การบริหารราชการเมืองพัทยา</span><br />จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2521 เมืองพัทยามีฐานะเป็นนิติบุคคล ประกอบด้วย<br /><span style="color:#6600cc;">สภา เมืองพัทยา</span>ประกอบด้วยสมาชิก 2 ประเภท คือ สมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชน จำนวน 9 คน และสมาชิกจากการแต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จำนวน 8 คนสภาเมืองพัทยา จะเลือกสมาชิกคนใดคนหนึ่งเป็นนายกเมืองพัทยา สภาเมืองพัทยาทำหน้าที่ด้านนโยบายและแผนการดำเนินงาน และควบคุมการปฏิบัติงานประจำของเมืองพัทยา<br /><span style="color:#6600cc;">ปลัด เมืองพัทยา</span>มีหน้าที่บริหารกิจการเมืองพัทยาตามนโยบายของสภาเมืองพัทยา ปลัดเมืองพัทยามาจากการแต่งตั้งโดยสภาเมืองพัทยาตามที่นายกเมืองพัทยาเสนอ ผู้ซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกสภาเมืองพัทยาอย่างน้อย 2 คน แต่ไม่เกิน 3 คน</span><br /><br /><div><div><div><div><div><div><div><span style="color:#ff0000;">จัดทำโดย น.ส. นิรุชา พูลสวัสดิ์ ชั้นม.4/4 เลขที่ 24</span></div></div></div></div></div></div></div>Worky In Lovehttp://www.blogger.com/profile/13254019465241228333noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2675407144234424394.post-76600741494840083472010-09-06T06:54:00.000-07:002010-09-06T07:29:56.068-07:00ศาสยุติธรรม<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgi-k_iHILHTkvdtboWt3Zreg1uYZ7PdBEO_hXcBHyeF8KDBYi4RMPhpIVyMvLhRhKimz7Ag_YbnQsUPMoC3_SGJqcG4NtKHcI0MI5Bn0zvWF9LQ9ZqcmX4izWGGE9QK-_UXXbOkMXNhP-q/s1600/41.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5513807546804936690" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 124px; CURSOR: hand; HEIGHT: 108px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgi-k_iHILHTkvdtboWt3Zreg1uYZ7PdBEO_hXcBHyeF8KDBYi4RMPhpIVyMvLhRhKimz7Ag_YbnQsUPMoC3_SGJqcG4NtKHcI0MI5Bn0zvWF9LQ9ZqcmX4izWGGE9QK-_UXXbOkMXNhP-q/s320/41.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="color:#ff0000;"><span style="font-size:130%;">ศาลยุติธรรมของประเทศไทยประกอบด้วยศาลหลักคือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ศาลชั้นต้น<br /><span style="color:#ff99ff;">ศาลชั้นต้น</span> เป็นศาลที่มีเขตอำนาจทั่วไปทั้งทางแพ่งและอาญาอย่างน้อยจังหวัดละ 1 ศาล ในศาลชั้นต้นผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะ มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องหรือคำขอ หรือมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการเพื่อความปลอดภัย หรือมีคำสั่งในคดีอาญา หรือพิจารณาคดีแพ่งซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท หรือพิจารณาพิพากษาคดีอาญาซึ่งมีโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน หกหมื่นบาท แต่จะลงโทษจำคุกเกิน 6 เดือนหรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาทไม่ได้ ส่วนในกรณีอื่นๆการพิจารณาคดีจะต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย 2 คนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกินหนึ่งคน จึงจะเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรืออาญาทั้งปวง ศาลจังหวัด จังหวัดนครศรีธรรมราช มีศาลจังหวัด 3 ศาล คือ ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ศาลจังหวัดปากพนัง ศาลจังหวัดทุ่งสง ศาลแขวง เป็นศาลระดับล่าง มีผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจทำได้ตามที่กำหนดไว้ใน พระธรรมนูญศาลยุติธรรม กล่าวคือ มีอำนาจพิจารณาพิพากษาความผิดเล็กๆน้อยๆทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา เช่นคดีเกี่ยวกับการพนัน โสเภณี หรือคดีอาญาที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือคดีแพ่งที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน สามแสนบาท หรือมีอำนาจออกหมายเรียก (ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งมาศาลเพื่อพิจารณาพิพากษาคดี)หมายอาญา ซึ่งเป็นหนังสือบงการให้เจ้าหน้าที่ทำ การตรวจค้น จับ ขัง จำคุก หรือปล่อยตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยหรือนักโทษ หรือ ตามหมายสั่งให้คนมาจากหรือไปยังจังหวัดอื่น หรืออกคำสั่งใดๆ ซึ่งมิใช่เป็นไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5513805063668921394" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 164px; CURSOR: hand; HEIGHT: 113px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhaHyzPQjxJWUOQ5K8MQ0MffjztFAQuNOIkGsAyD9-uqEig_q455XMic2LV87HDHh-dnriZBBimf50L8BxX_XYrp1PYHL3M6TK0CV1EThsmTqPJn2CTUasG07X6Gz64q_sZ4eCuLdW73mLB/s320/42.jpg" border="0" /><br /></span><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff99ff;">ศาลอุทธรณ์<br /></span>ศาลอุทธรณ์ (ม.21) เป็นศาลชั้นกลางที่ตั้งขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้คู่ความที่ไม่พอใจในคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้น ได้มีสิทธิที่จะขอให้ศาลลำดับที่สูงกว่าซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาที่มีความรู้และประสบการณ์มากกว่าได้ ทำการพิจารณาพิพากษาอีกครั้งหนึ่ง อันเป็นการให้หลักประกันความยุติธรรมแก่ประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย “สามคน”จึงจะเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ คดีอุทธรณ์นี้อาจจะเป็น “คดีลหุโทษหรือคดีอุกฉกรรจ์ หรือคดีแพ่งโดยไม่จำกัดจำนวนทุนทรัพย์ว่าจะมากหรือน้อยเพียงใด”<br /></span><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff99ff;">ศาลฎีกา<br /></span>ศาลฎีกา เป็นศาลชั้นสูงสุด ม.23 บัญญัติให้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค และคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยตรงต่อศาลฎีกา<br />ตามบัญญัติแห่งกหมายว่าด้วยการอุทธรณ์หรือฎีกา และคดีที่กฏมายอื่นบัญญัติให้ศาลฎีกามีอำนาจ พิจารณาพิพากษา รวมทั้งมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดหรือสั่งคำร้องคำขอที่ยื่นต่อศาลฎีกาตามกฎหมาย คดีที่ศาลฎีกาได้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งแล้ว คู่ความไม่มีสิทธิ์ที่จะทูลเกล้า ถวายฎีกาคัดค้านคดีนั้นต่อไป หมายเหตุ บางเรื่องกฏมายห้ามฎีกา เช่น <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5513805845513009650" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 149px; CURSOR: hand; HEIGHT: 111px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEir9E3wb0Qa6d_prvTkJz1dwRjNAEjplspZk2MnC87oiSYiI781pK6NOHck-Vmh73zoDVdkBtjdTOc48O52_w4-1XXeHWCxw_mA-Gabj1mehyphenhyphenYzC2FnAdCmydrs7Z1sCaJsJHmS8yLemR7F/s320/45.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#ff99ff;">-</span> ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 บัญญัติห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงถ้าในคดีนั้นมีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท<br /><span style="color:#ff99ff;">-</span> ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 บัญญัติ ห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงถ้าคดีนั้นศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี หรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับ แต่โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี<br /><span style="color:#ff99ff;">-</span> ห้ามโจทย์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงถ้าในคดีนั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปี ไม่ว่าจะมีโทษอย่างอื่นด้วยหรือไม่ก็ตามเช่นเดียวกับมาตรา 219 ที่บัญญัติห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงถ้าในคดีนั้นศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย ไม่เกินกำหนดที่ว่ามานี้ ทั้งนี้ภายใต้ข้อยกเว้นบางประการ ส่วนข้อกฏหมายนั้นคู่ความฎีกาได้เสมอ ศาลชำนัญพิเศษอื่น (ศาลเยาวชนและครอบครัว)วัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสิทธิของเด็กและเยาวชน รวมทั้งช่วยเหลือและคุ้มครองสถานภาพของการสมรส สามี ภรรยา และ บุตร </span><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5513805521731636082" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 170px; CURSOR: hand; HEIGHT: 112px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjg_BBC_RdO-wK_Ea2k540ItVJS3QQ9PiR_gS90W6wLjh4fhoM6O8JXLu24K0INomn0tgKslJ0yPBncYu7qPJ2JGZ0j6zxuL0vScOPL6g0KzRulFj3aI__E2GcXyzke9jhTw24JkpBe7pEF/s320/43.jpg" border="0" /><br /></span><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;">- ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ<br />- ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด มีอยู่ 8 จังหวัดคือ สงขลา-นครราชสีมา-เชียงใหม่-อุบลฯ- ระยอง-สุราษฎร์ฯ-นครสวรรค์ และ ขอนแก่น<br />- จะต้องมีผู้พิพากษาไม่น้อยกว่า 2 คนและผู้พิพากษาสมทบอีก 2 คน ซึ่งอย่างน้อยคนหนึ่งต้องเป็นสตรี จึงจะเป็นองค์คณะพิจารณาคดีได้<br />- มีสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนคู่กันไปทุกศาล<br />- เด็กหมายถึง บุคลอายุเกิน 7 ปีแต่ไม่เกิน 14 ปี<br />- เยาวชนหมายถึงบุคคลอายุ 14 ปีแต่ไม่เกิน 18 ปี<br /></span><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff99ff;">ศาลแรงงาน<br /></span>ศาลแรงงาน </span><span style="font-size:130%;"><span style="color:#6666cc;">มี 3 ประเภท คือ<br /></span><span style="color:#6600cc;">1.</span>ศาลแรงงานกลาง<br /><span style="color:#6600cc;">2.</span>ศาลแรงงานภาค<br /><span style="color:#6600cc;">3.</span>ศาลแรงงานจังหวัด<br />“ในกรณีที่คู่ความไม่พอใจคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแรงงานก็มีสิทธิอุทธรณ์เฉพาะในปัญหา ข้อกฏหมายไปยังศาลฎีกาได้”<br /><span style="color:#9999ff;">ศาลภาษีอากร</span><br />ศาลภาษีอากร <span style="color:#ffcc00;">มี 2 ประเภท</span> คือ ศาลภาษีอากรกลาง และศาลภาษีอากรจังหวัด ศาลทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าระหว่างประเทศ มี 2 ประเภทคือ<br /><span style="color:#ff9900;">1.</span>ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและ<br /><span style="color:#ff9900;">2.</span>การค้าระหว่างประเทศกลาง และศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศภาค <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5513805621799584930" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 142px; CURSOR: hand; HEIGHT: 116px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJcb88GvPHRtTsTMrtNX_Xs48O8DV5raF5VeWdldXhsqxg92rETYqaI1Z_3SHPubanc0HAiOJdPiu3FUCKfOPGUTfNeBgWnSGlHwZvos6rbzy33n3DEndERXkBwZ4OLwmxCmhccEARSB5Y/s320/44.jpg" border="0" /><br /></span><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff99ff;">ศาลล้มละลาย<br /></span><span style="color:#33cc00;">มี 2 ประเภท</span> คือ ศาลล้มละลายกลางและศาลล้มละลายภาค ศาลปกครอง เป็นองค์กรอิสระขึ้นตรงต่อประธานศาลปกครองสูงสุด<br />- พ.ศ.2535 นายชวน หลีกภัย ได้กำหนดนโยบายให้มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้น<br />- นายบรรหาร ศิลปะอาชา ให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายจัดตั้งศาลปกครอง<br />- พลเอก เชาวลิต ยงใจยุทธ ร่าง พรบ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองออกมาบังคับใช้ได้เป็นผลสำเร็จ<br />- ศาลปกครอง มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่มีข้อพิพาททางกฎหมายปกครองระหว่างเอกชนกับหน่วย<br />งานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือระหว่างเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐด้วยกัน<br />- ศาลปกครองกำหนดโครงสร้างไว้เพียง 2 ชั้นคือ ศาลปกครองชั้นต้น และศาลปกครองสูงสุด<br /></span><span style="font-size:130%;"><span style="color:#33cc00;">ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นองค์กรอิสระ ขึ้นตรงต่อประธานศาลรัฐธรรมนูญ<br /></span>- เริ่มก่อตั้งภายหลังการปฏิวัติ พ.ศ.2475<br />- บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดๆมีข้อความขัดแย้งหรือขัดแก่รัฐธรรมนูญ ท่านว่าบทบัญญัตินั้นเป็น โมฆะ คณะ<br />ตุลาการรัฐธรรมนูญ ตั้งขึ้นเนื่องจากเกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายตุลาการในคดีอาชญากรสงครามช่วงที่นายทวี บุญยเกตุ เป็นรัฐบาล เพื่อเอาผิดกับบุคคลสำคัญในคณะรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่นำประเทศเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2</span></span><br /><div><div><div><div><div><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"></span> </div><div><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">จัดทำโดย น.ส. นิรุชา พูลสวัสดิ์ ชั้น ม.4/4 เลขที่ 24</span></div></div></div></div></div></div>Worky In Lovehttp://www.blogger.com/profile/13254019465241228333noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2675407144234424394.post-18523388437563052122010-09-06T06:35:00.000-07:002010-09-06T06:51:08.510-07:00รัฐบาลไทย(คณะรัฐมนตรี)<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjI2kCj03SuTNvS2fF50PoPD5elz5bBx3pLOQBh2yjU6643dhTs0yYVTIU11hoVo-1HHyq9wYG5Lanz9QA6s32RfjxZV4aLWYLHAWD99woToLqE_oBKBp870w9UGtBwoTHZ3W9qidEszi9J/s1600/25.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5513797145093978130" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 145px; CURSOR: hand; HEIGHT: 106px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjI2kCj03SuTNvS2fF50PoPD5elz5bBx3pLOQBh2yjU6643dhTs0yYVTIU11hoVo-1HHyq9wYG5Lanz9QA6s32RfjxZV4aLWYLHAWD99woToLqE_oBKBp870w9UGtBwoTHZ3W9qidEszi9J/s320/25.jpg" border="0" /></a> <span style="font-family:courier new;font-size:130%;color:#ffcc33;">คณะรัฐมนตรีไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันประเทศไทยมีคณะรัฐมนตรีทั้งหมด 59 คณะ ดังนี้<br />ครม.ที่ นายกรัฐมนตรี เริ่มวาระ สิ้นสุดวาระ ระยะเวลา สิ้นสุดลงโดย<br /></span><span style="font-family:arial;color:#33ff33;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ffcccc;">1.)</span> พระยามโนปกรณ์นิติธาดา(ก้อน หุตะสิงห์) 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 165 วัน ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2475<br /><span style="color:#ffcccc;">2.)</span> 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 1 เมษายน พ.ศ. 2476 รัฐประหาร โดยพระราชกฤษฎีกา<br /><span style="color:#ffcccc;">3.)</span> 1 เมษายน พ.ศ. 2476 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ลาออก และรัฐประหาร (นำโดยพระยาพหลพลพยุหเสนา บังคับให้ลาออก)<br /><span style="color:#ffcccc;">4.)</span> พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา(พจน์ พหลโยธิน) 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 16 ธันวาคม พ.ศ. 2476 ลาออก (เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">5.)</span> 16 ธันวาคม พ.ศ. 2476 22 กันยายน พ.ศ. 2477 ลาออก (สภาไม่อนุมัติสนธิสัญญาจำกัดยางของรัฐบาล)<br /><span style="color:#ffcccc;">6.)</span> 22 กันยายน พ.ศ. 2477 9 สิงหาคม พ.ศ. 2480 ลาออก (กระทู้เรื่องขายที่ดินพระคลังข้างที่)<br /><span style="color:#ffcccc;">7.)</span> 9 สิงหาคม พ.ศ. 2480 21 ธันวาคม พ.ศ. 2480 สภาครบวาระ (เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">8.)</span> 21 ธันวาคม พ.ศ. 2480 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 ยุบสภา(เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">9.)</span> จอมพล แปลก พิบูลสงคราม(หลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตตะสังคะ) 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 7 มีนาคม พ.ศ. 2485 ลาออก (เปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรีให้เหมาะสม)<br /><span style="color:#ffcccc;">10.)</span> 7 มีนาคม พ.ศ. 2485 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487 ลาออก (สภาผู้แทนราษฎรไม่อนุมัติร่างพระราชบัญญัติ และพระราชกำหนด) <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5513796835554507154" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 133px; CURSOR: hand; HEIGHT: 171px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhfMY0kxtY2SSi579dF8pEviZYDzPGPrY7tRSI2lGEKLfJyuDf9OGN5GijWQxTDZAxoJWMucl6XteLdHkZpl3DnChmWCRg_pUIYvi4QM_l1X-Y-YMXNgZMX__6nLld2pAQ5gSvh31rGWTXm/s320/22.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#ffcccc;">11.)</span> พันตรี ควง อภัยวงศ์หลวงโกวิทอภัยวงศ์ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487 31 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ลาออก (สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลง)<br /><span style="color:#ffcccc;">12.)</span> นายทวี บุณยเกตุ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2488 17 กันยายน พ.ศ. 2488 17 วัน ลาออก (เปิดโอกาสให้ผู้ที่เหมาะสมเข้ามาแทน)<br /><span style="color:#ffcccc;">13.)</span> หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช 17 กันยายน พ.ศ. 2488 31 มกราคม พ.ศ. 2489 ยุบสภา (เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">14.)</span> พันตรี ควง อภัยวงศ์หลวงโกวิทอภัยวงศ์ 31 มกราคม พ.ศ. 2489 24 มีนาคม พ.ศ. 2489 ลาออก (แพ้มติสภาที่เสนอพระราชบัญญัติที่รัฐบาลรับไม่ได้)<br /><span style="color:#ffcccc;">15.)</span> นายปรีดี พนมยงค์(หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) 24 มีนาคม พ.ศ. 2489 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489 (เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">16.)</span> 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489 ลาออก (ถูกใส่ความกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8)<br /><span style="color:#ffcccc;">17.)</span> พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์(หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์) 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 ลาออก (หลังจากการอภิปรายทั่วไป 7 วัน 7 คืน)<br /><span style="color:#ffcccc;">18.)</span> 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รัฐประหาร นำโดยจอมพล ผิน ชุณหะวัณคณะทหารแห่งชาตินำโดย จอมพล ผิน ชุณหะวัณ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 3 วัน ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2490 และแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่<br /><span style="color:#ffcccc;">19.)</span> พันตรี ควง อภัยวงศ์หลวงโกวิทอภัยวงศ์ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 ลาออก (เป็นรัฐบาลรักษาการเพื่อจัดเลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">20.)</span> 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 8 เมษายน พ.ศ. 2491 ลาออก (คณะรัฐประหารบังคับให้ลาออกภายใน 24 ชั่วโมง (รัฐประหารเงียบ) <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5513796952965246514" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 165px; CURSOR: hand; HEIGHT: 135px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgEgqYpKjHDYW9YrnMw78ql-jnJWHykumNnInOJJTe18ipYt_5zDMBpOZZBvhatf99zgnO7CSRX9nFFeNiIzQKm37xsOTZKj4AEvzWCaALJdVNmE0955PDjlGAtRGhgXbUhfNGcB9-TWfqM/s320/23.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#ffcccc;">21.)</span> จอมพล แปลก พิบูลสงคราม(หลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตตะสังคะ) 8 เมษายน พ.ศ. 2491 25 มิถุนายน พ.ศ. 2492 ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 (เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">22.)</span> 25 มิถุนายน พ.ศ. 2492 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 คณะบริหารประเทศชั่วคราวประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 อีกครั้งหนึ่งไปพลางก่อน (รัฐประหารตนเอง)<br /><span style="color:#ffcccc;">23.)</span> 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 6 ธันวาคม พ.ศ. 2494 มีการแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ขึ้นใหม่24 6 ธันวาคม พ.ศ. 2494<br /><span style="color:#ffcccc;">24.)</span> มีนาคม พ.ศ. 2495 ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2495 (เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">25.)</span> 24 มีนาคม พ.ศ. 2495 21 มีนาคม พ.ศ. 2500 สภาผู้แทนราษฎรครบวาระ (เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">26.)</span> 21 มีนาคม พ.ศ. 2500 16 กันยายน พ.ศ. 2500 รัฐประหาร นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์คณะทหาร นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ในฐานะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร 16 กันยายน พ.ศ. 2500 21 กันยายน พ.ศ. 2500 5 วัน แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่<br /><span style="color:#ffcccc;">27.)</span> นายพจน์ สารสิน 21 กันยายน พ.ศ. 2500 1 มกราคม พ.ศ. 2501 ลาออก (เลือกตั้งทั่วไป) <span style="color:#ffcccc;">28.)</span> จอมพล ถนอม กิตติขจร 1 มกราคม พ.ศ. 2501 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ลาออกและรัฐประหาร นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ คณะปฏิวัติ นำโดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 และแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่<br /><span style="color:#ffcccc;">29.)</span> จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 นายกรัฐมนตรีถึงแก่อสัญกรรม<br /><span style="color:#ffcccc;">30.)</span> จอมพลถนอม กิตติขจร 9 ธันวาคม พ.ศ. 2506 7 มีนาคม พ.ศ. 2512 ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511(เลือกตั้งทั่วไป) <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5513796686518433938" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 163px; CURSOR: hand; HEIGHT: 106px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh1Lu0PGtyAKjGErc0XR4qmaHZzez50fZyoj-wjkzf4vE3YFoYUiODcoeGsbFGbcHJd215dYm9K8rP1lEYo-g3WY3rjTcOSNR20svpxceW27flmeOH4XprBRDJpxo1glpw3QTPv4d2RqSNN/s320/21.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#ffcccc;">31.)</span> 7 มีนาคม พ.ศ. 2512 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 รัฐประหาร โดยจอมพล ถนอม กิตติขจร (รัฐประหารตนเอง) คณะปฏิวัติ นำโดยจอมพล ถนอม กิตติขจร 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 17 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2515 และแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี<br /><span style="color:#ffcccc;">32.)</span> จอมพล ถนอม กิตติขจร 18 ธันวาคม พ.ศ. 2515 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ลาออก (เกิดเหตุการณ์14ตุลา)<br /><span style="color:#ffcccc;">33.)</span> นายสัญญา ธรรมศักดิ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 ลาออก (อ้างเหตุร่างรัฐธรรมนูญไม่เสร็จ) 34.) 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 (เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">35.)</span> หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 14 มีนาคม พ.ศ. 2518 ไม่ได้รับความไว้วางใจ จากส.ส. ในการแถลงนโยบาย<br /><span style="color:#ffcccc;">36.)</span> พลตรี หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช 14 มีนาคม พ.ศ. 2518 20 เมษายน พ.ศ. 2519 ยุบสภา (เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">37.)</span> หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช 20 เมษายน พ.ศ. 2519 25 กันยายน พ.ศ. 2519 ลาออก (วิกฤตการณ์จอมพล ถนอม กลับประเทศเพื่ออุปสมบท)<br /><span style="color:#ffcccc;">38.)</span> 25 กันยายน พ.ศ. 2519 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 11 วัน รัฐประหาร โดยพลเรือเอก สงัด ชลออยู่คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินนำโดย พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 8 ตุลาคม พ.ศ. 2519 2 วัน แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519 เป็นผลให้คณะปฏิรูปฯ แปรสภาพเป็น สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน<br /><span style="color:#ffcccc;">39.)</span> นายธานินทร์ กรัยวิเชียร 8 ตุลาคม พ.ศ. 2519 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 รัฐประหาร โดยพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ คณะปฏิวัติ นำโดย พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520 1 เดือน ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2520 และแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่<br /><span style="color:#ffcccc;">40.)</span> พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2522 ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 (เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">41.)</span> 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2522 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 ลาออก (วิกฤตการณ์น้ำมันและผู้ลี้ภัย)<br /><span style="color:#ffcccc;">42.)</span> พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 30 เมษายน พ.ศ. 2526 ยุบสภา(เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">43.)</span> 30 เมษายน พ.ศ. 2526 5 สิงหาคม พ.ศ. 2529 ยุบสภา (เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">44.)</span> 5 สิงหาคม พ.ศ. 2529 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ยุบสภา (เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">45.)</span> พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ สิงหาคม พ.ศ. 2531 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533 ลาออก แล้วจัดตั้งรัฐบาลใหม่ <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5513797046694924706" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 171px; CURSOR: hand; HEIGHT: 90px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhb-bqHWqotrGU3TAe-H94blljXmQcnBUYhjbuKTXeyMxbULoOxTaG2mDPbq4Rh0UPMASgbhkZX7PlWwi0NuSldUxL35c2sH7VqIePr6oxjjkNa_WKsCH6IV_3iMURmfUcrAGfptqHv9R1s/s320/24.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#ffcccc;">46.)</span> 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 รัฐประหาร นำโดย พลเอก สุนทร คงสมพงษ์คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) นำโดย พลเอก สุนทร คงสมพงษ์ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 1 มีนาคม พ.ศ. 2534 5 วัน ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2534 และแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่<br /><span style="color:#ffcccc;">47.)</span> นายอานันท์ ปันยารชุน 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 7 เมษายน พ.ศ. 2535 ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 (เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">48.)</span> พลเอก สุจินดา คราประยูร 7 เมษายน พ.ศ. 2535 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ลาออก (เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ)นายมีชัย ฤชุพันธุ์ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 10 มิถุนายน พ.ศ. 2535<br /><span style="color:#ffcccc;">49.)</span> นายอานันท์ ปันยารชุน 10 มิถุนายน พ.ศ. 2535 23 กันยายน พ.ศ. 2535 ยุบสภา (เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">50.)</span> นายชวน หลีกภัย 23 กันยายน พ.ศ. 2535 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 ยุบสภา (เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">51.)</span> นายบรรหาร ศิลปอาชา 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ยุบสภา(เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">52.)</span> พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 ลาออก (วิกฤตการณ์เศรษฐกิจ)<br /><span style="color:#ffcccc;">53.)</span> นายชวน หลีกภัย 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ยุบสภา (เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">54.)</span> พันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 11 มีนาคม พ.ศ. 2548 1461 วัน สภาฯ ครบวาระ 4 ปี<br /><span style="color:#ffcccc;">55.)</span> 11 มีนาคม พ.ศ. 2548 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ยุบสภาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 แต่ต่อมาถูกศาลพิพากษาให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ต่อมาเกิด รัฐประหาร โดยพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ระหว่างที่ ครม.รักษาการเพื่อรอการเลือกตั้งครั้งใหม่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ (คปค.)นำโดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน 19 กันยายน พ.ศ. 2549 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549 12 วัน ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2549 และแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่<br /><span style="color:#ffcccc;">56.)</span> พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549 29 มกราคม พ.ศ. 2551 486 วัน ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 (เลือกตั้งทั่วไป)<br /><span style="color:#ffcccc;">57.)</span> นายสมัคร สุนทรเวช 29 มกราคม พ.ศ. 2551 9 กันยายน พ.ศ. 2551 223 วัน ศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง เพราะกระทำการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 9 กันยายน พ.ศ. 2551 18 กันยายน พ.ศ. 2551 9 วัน<br /><span style="color:#ffcccc;">58.)</span> นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 18 กันยายน พ.ศ. 2551 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 75 วัน ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบพรรคพลังประชาชนและตัดสิทธิ์ทางการเมืองของคณะกรรมการบริหารพรรคคนละ 5 ปีนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551 15 วัน<br /><span style="color:#ffcccc;">59.)</span> นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ปัจจุบัน</span></span><span style="font-family:arial;color:#33ff33;"> </span><br /><div><div><div><div><div><span style="font-family:Arial;color:#66ffff;"></span> </div><div><span style="font-family:Arial;color:#66ffff;">จัดทำโดย น.ส. นิรุชา พูลสวัสดิ์ ชี้น ม.4/4 เลขที่ 24</span></div></div></div></div></div>Worky In Lovehttp://www.blogger.com/profile/13254019465241228333noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2675407144234424394.post-80565632054738826192010-08-30T07:19:00.000-07:002010-08-30T07:37:24.768-07:00รัฐสภาไทย<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHbYQDjsOeslbsAy3eTqiadqU2nLeAxp5S6-XSlODmDuEuQAcjxDcDuBUfvPxvOWWYCGnY6d7GAQSyLhLXlmXSoPlBX_21kvDDO2VHylNGJp9gCof34WURpw7D5skwu5kBJ0qYMOZTpY5i/s1600/12.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5511209925571394594" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 130px; CURSOR: hand; HEIGHT: 98px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHbYQDjsOeslbsAy3eTqiadqU2nLeAxp5S6-XSlODmDuEuQAcjxDcDuBUfvPxvOWWYCGnY6d7GAQSyLhLXlmXSoPlBX_21kvDDO2VHylNGJp9gCof34WURpw7D5skwu5kBJ0qYMOZTpY5i/s320/12.jpg" border="0" /></a><span style="color:#ff99ff;"><span style="color:#ff0000;">ประวัติรัฐสภาไทย<br /></span>รัฐสภาของประเทศไทยกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475หลัง การประกาศใช้รัฐธรรมนูญชัวคราวฉบับแรก เมื่อผู้แทนราษฎรจำนวน 70 คนซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ได้เปิดประชุมสภาขึ้นเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม และเมื่อการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรทั่วประเทศได้สำเร็จลง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้พระราชทานพระที่นั่งอนันตสมาคมองค์นี้แก่ผู้แทนราษฎรเพื่อใช้เป็นที่ประชุมสืบต่อมา เมื่อจำนวนสมาชิกรัฐสภาต้องเพิ่มมากขึ้นตามอัตราส่วนของจำนวนประชากรที่ เพิ่มขึ้น จึงเกิดความจำเป็นที่จะต้องจัดสร้างอาคารรัฐสภาที่มีขนาดใหญ่กว่า เพื่อให้มีที่ประชุมเพียงพอกับจำนวนสมาชิก และมีที่ให้ข้าราชการสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาใช้ เป็นที่ทำงาน จึงได้มีการวางแผนการจัดสร้างอาคารรัฐสภาขึ้นใหม่ถึง 4 ครั้งด้วยกัน แต่ก็ต้องระงับไปถึง 3 ครั้ง เพราะคณะรัฐมนตรีผู้ดำริต้องพ้นจากตำแหน่งไปเสียก่อน<br />ในครั้งที่ 4 แผนการจัดสร้างรัฐสภาใหม่ได้ประสบผลสำเร็จ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงยืนยันพระราชประสงค์เดิมที่จะให้ใช้พระที่นั่งอนันตสมาคมและบริเวณ เป็นที่ทำการของรัฐสภาต่อไป และยังได้พระราชทานที่ดินบริเวณทิศเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคม ให้เป็นที่จัดสร้างสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาขึ้นใหม่ด้วย <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5511209794211011602" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 124px; CURSOR: hand; HEIGHT: 93px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgG0TCKa4DbqBfriEl0GwIxCtWzBgaiNWWijsa5LVY654zfkck_GgTzsX_SExovUKdDDoCAr-B8WvTaC3nzttOFfb7vl46tUUb2vmN70NXTra02tG69BhAhN0Kf16rj3o32OL-bMlAIjfrp/s320/1.jpg" border="0" /><br />สถานที่ทำการใหม่ของรัฐสภา เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 โดยมีกำหนดสร้างเสร็จภายใน 850 วัน ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 51,027,360 บาท <span style="color:#ff0000;">ประกอบด้วยอาคารหลัก 3 หลัง</span> คือ<br /><br /><span style="color:#ff0000;">หลังที่ 1</span> เป็นตึก 3 ชั้นใช้เป็นที่ประชุมวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร และการประชุมร่วมกันของสภาทั้งสอง ส่วนอื่นๆ เป็นที่ทำการของสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา ประธาน และรองประธานของสภาทั้งสอง<br /><span style="color:#ff0000;">ลัง<span style="color:#ff0000;">หที่</span> 2</span> เป็นตึก 7 ชั้น ใช้เป็นสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาและโรงพิมพ์รัฐสภา<br /><span style="color:#ff0000;">หลังที่ 3</span> เป็นตึก 2 ชั้นใช้เป็นสโมสรรัฐสภา<br />สถานที่ทำการใหม่ของรัฐสภา ใช้ในการประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2517 สำหรับพระที่นั่งอนันตสมาคม ถือเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และใช้เป็นที่รับรองอาคันตุกะบุคคลสำคัญ ใช้เป็นสถานที่ประกอบรัฐพิธีเปิดสมัยประชุม รัฐพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ และมีโครงการใช้ชั้นล่างของพระที่นั่งเป็นจัดสร้างพิพิธภัณฑ์รัฐสภา <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5511210301143250626" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 123px; CURSOR: hand; HEIGHT: 92px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEitiuv0oS5j0j_DnYF-GCpLOnmhX_ME6_uC4N2qcXbPCqwE8WF75hwZkg5D06_dVzJPihBQ8kVA3sVBmb_prrjGskpM6yJ3rsTlIVoqTiR2xtvRt3bs-MifjYqqkjnhx9XbjpQNFhSdYAkQ/s320/14.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#ff0000;">โครงสร้างของรัฐสภา<br /></span><span style="color:#ff0000;">1.</span> รัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (มาตรา 88) รัฐสภาจะประชุมร่วมกันหรือแยกกัน ย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ บุคคลจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาในขณะเดียวกันมิได้<br /><span style="color:#ff0000;">2.</span> ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภาเป็นรองประธานรัฐสภา (มาตรา 89)ในกรณีที่ไม่มีประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานสภาผู้แทนราษฎรไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภาได้ ให้ประธานวุฒิสภาทำหน้าที่ประธานรัฐสภาแทน<br />ประธานรัฐสภามีอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ และดำเนินกิจการของรัฐสภาในกรณีประชุมร่วมกันให้เป็นไปตามข้อบังคับ ประธานรัฐสภาและผู้ทำหน้าที่แทนประธานรัฐสภาต้องวางตนเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่รองประธานรัฐสภามีอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ และตามที่ประธานรัฐสภามอบหมาย<br /><span style="color:#ff0000;">3.</span> ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติจะตราขึ้นเป็นกฎหมายได้ก็แต่โดยคำแนะนำ และยินยอมของรัฐสภา และเมื่อพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยหรือถือเสมือนว่าได้ทรงลงพระปรมาภิไธยตามรัฐธรรมนูญนี้แล้ว ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป (มาตรา 90) <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5511210033632905506" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 130px; CURSOR: hand; HEIGHT: 98px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiRV6PjeJAsDhpjDR58SdWhyGHa9CbyC3HxSygIUU3ugMNe5EoDQKWPF7d_j5_78WawJDHlF4IOYl5xp-jueogFL4SSYAPY3qiIKjrv7s9oBnmPxh02BpIZazX8zVBpv87YgizFJGqS8fUN/s320/13.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#ff0000;">4.</span> สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่งแห่งสภานั้นสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๐๖ (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) (๑๐) หรือ (๑๑) หรือมาตรา ๑๑๙ (๓) (๔) (๕) (๗) หรือ (๘) แล้วแต่กรณี และให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับคำร้องส่งคำร้องนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกผู้นั้นสิ้นสุดลงหรือไม่ (มาตรา 91)<br />เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้ว ให้ศาลรัฐธรรมนูญแจ้งคำวินิจฉัยนั้นไปยังประธานแห่งสภาที่ได้รับคำร้องตามวรรคหนึ่ง ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาคนใดคนหนึ่งมีเหตุสิ้นสุดลงตามวรรคหนึ่ง ให้ส่งเรื่องไปยังประธานแห่งสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก และให้ประธานแห่งสภานั้นส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง<br /><span style="color:#ff0000;">5.</span> การออกจากตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาภายหลังวันที่สมาชิกภาพสิ้นสุดลง หรือวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่งสิ้นสุดลง ย่อมไม่กระทบกระเทือนกิจการที่สมาชิกผู้นั้นได้กระทำไปในหน้าที่สมาชิกรวมทั้งการได้รับเงินประจำตำแหน่งหรือประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นก่อนที่สมาชิกผู้นั้นออกจากตำแหน่ง หรือก่อนที่ประธานแห่งสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้วแต่กรณี เว้นแต่ในกรณีที่ออกจากตำแหน่งเพราะเหตุที่ผู้นั้นได้รับเลือกตั้งหรือสรรหามาโดยไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ให้คืนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ผู้นั้นได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าว (มาตรา 92)</span><br /><br /><div><div><div><p><span style="color:#ff99ff;">จัดทำโดย น.ส.นิรุชา พูลสวัสดิ์ เลขที่24 ชั้น ม.4/4</span></p></div></div></div>Worky In Lovehttp://www.blogger.com/profile/13254019465241228333noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2675407144234424394.post-25904659556653377912010-08-25T06:53:00.003-07:002010-08-25T07:32:08.668-07:00ประวัติการกบฎ การปฏิวัติและรัฐประหารในประเทศไทย<div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_G8hWimlixSajXwzZBRAfyESEkJ14GB-vLZxkf3bzasOpUZspnXaN7FyhjVAvJSJmHXymgkEl3B0uQnY7ANh_h9Ku7WrobmRDX6sbyddAhSAD5RiCfrV5qZQfIkXW1orYqOKqtejYTkWB/s1600/66.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5509353756281532066" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 96px; CURSOR: hand; HEIGHT: 131px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_G8hWimlixSajXwzZBRAfyESEkJ14GB-vLZxkf3bzasOpUZspnXaN7FyhjVAvJSJmHXymgkEl3B0uQnY7ANh_h9Ku7WrobmRDX6sbyddAhSAD5RiCfrV5qZQfIkXW1orYqOKqtejYTkWB/s320/66.jpg" border="0" /></a> <span style="color:#33cc00;">'กบฏ ปฏิวัติ รัฐประหาร' โดยสาระสำคัญแล้ว การทำรัฐประหาร คือการใช้กำลังอำนาจเข้าเปลี่ยนแปลงอำนาจของรัฐ โดยมาก หากรัฐประหารครั้งนั้นสำเร็จ จะเรียกว่า 'ปฏิวัติ' แต่หากไม่สำเร็จ จะเรียกว่า 'กบฏ'<br />จาก พ.ศ. 2475 - พ.ศ. 2534 มีการก่อรัฐประหารหลายครั้ง ทั้งที่เป็น การปฏิวัติ และเป็น กบฏ มีดังนี้<br /><span style="color:#ff0000;">พ.ศ. เหตุการณ์ หัวหน้าก่อการ รัฐบาล</span><br /><span style="color:#ffff66;">2475</span> ปฏิวัติ 24 มิถุนายน พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ<br /><span style="color:#ffff66;">2476</span> รัฐประหาร พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา พระยามโนปกรณ์นิติธาดา<br /><span style="color:#ffff66;">2476</span> กบฏบวรเดช พล.อ.พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา<br /><span style="color:#ffff66;">2478</span> กบฏนายสิบ ส.อ.สวัสดิ์ มหะหมัด พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา<br /><span style="color:#ffff66;">2481</span> กบฏพระยาสุรเดช พ.อ.พระยาสุรเดช พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา<br /><span style="color:#ffff66;">2490</span> รัฐประหาร พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์<br /><span style="color:#ffff66;">2491</span> กบฏแบ่งแยกดินแดน ส.ส.อีสานกลุ่มหนึ่ง นายควง อภัยวงศ์<br /><span style="color:#ffff66;">2491</span> รัฐประหาร คณะนายทหารบก นายควง อภัยวงศ์<br /><span style="color:#ffff66;">2491</span> กบฏเสนาธิการ พล.ต.สมบูรณ์ ศรานุชิต จอมพล ป. พิบูลสงคราม<br /><span style="color:#ffff66;">2492</span> กบฏวังหลวง นายปรีดี พนมยงค์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม<br /><span style="color:#ffff66;">2494</span> กบฏแมนฮัตตัน น.อ.อานน บุณฑริกธาดา จอมพล ป. พิบูลสงคราม<br /><span style="color:#ffff66;">2494</span> รัฐประหาร จอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพล ป. พิบูลสงคราม<br /><span style="color:#ffff66;">2497</span> กบฏสันติภาพ นายกุหราบ สายประสิทธิ์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม<br /><span style="color:#ffff66;">2500</span> รัฐประหาร จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม<br /><span style="color:#ffff66;">2501</span> รัฐประหาร จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพล ถนอม กิตติขจร<br /><span style="color:#ffff66;">2514</span> รัฐประหาร จอมพล ถนอม กิตติขจร จอมพล ถนอม กิตติขจร<br /><span style="color:#ffff66;">2516</span> ปฏิวัติ 14 ตุลาคม ประชาชน จอมพล ถนอม กิตติขจร<br /><span style="color:#ffff66;">2519</span> รัฐประหาร พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช<br /><span style="color:#ffff66;">2520</span> กบฏ 26 มีนาคม พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร<br /><span style="color:#ffff66;">2520</span> รัฐประหาร พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร<br /><span style="color:#ffff66;">2524</span> กบฏ 1 เมษายน พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์<br /><span style="color:#ffff66;">2528</span> การก่อความไม่สงบ 9 กันยายน พ.อ.มนูญ รูปขจร * พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์<br /><span style="color:#ffff66;">2534</span> รัฐประหาร พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ<br />* คณะบุคคลกลุ่มนี้ อ้างว่า พลเอก เสริม ณ นคร อดีตผู้บัญชาทหารสูงสุดเป็นหัวหน้า แต่หัวหน้าก่อการจริงคือ พ.อ. มนูญ รูปขจร <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5509352639613603874" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 116px; CURSOR: hand; HEIGHT: 78px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQCVnZQi-Gbqvu7CPjoLOAxQXIk5rQpOn4kDuROp0Am2XweI5ByTO7dsYMliVntPB1xYqJJ05Tfl3GP7Nc8oU0eHapAOncdeU4JLBUjrwG-lGgJXmOi0wslUQg49lIdHGqqVaBykcblztH/s320/61.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#ff0000;">ประวัติการปฏิวัติรัฐประหารและกบฏ ในประเทศไทย (2475 - 2534)<br /></span><span style="color:#ffff66;">การปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475<br /></span><span style="color:#ffff66;">" คณะราษฎร "</span> ซึ่งประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือนบางกลุ่ม จำนวน 99 นาย มีพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้าคณะ ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศ จากพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7 เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีรัฐธรรมนูญใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศสืบต่อไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริ ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ ให้แก่ปวงชนชาวไทยอยู่ก่อนแล้ว จึงทรงยินยอมตามคำร้องขอของคณะราษฎร ที่ทำการปฏิวัติในครั้งนั้น<br /><span style="color:#ffff66;">รัฐประหาร 20 มิถุนายน 2476</span><br />พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา พร้อมด้วยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือนคณะหนึ่ง ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศอีกครั้งหนึ่ง เพื่อขอให้พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นลาออกจากตำแหน่งซึ่งเป็นการริดรอนอำนาจภายในคณะราษฎร ที่มีการแตกแยกกันเอง<br />ในส่วนของการใช้อำนาจ ต้องมีมาตรการป้องกันมิให้ใช้อำนาจในทางที่ละเมิดต่อกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมและประเทศชาติ เช่น ให้มีศาลคดีการเมือง ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการรัฐสภา สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินที่มีอิสระอย่างเต็มที่ การประกาศทรัพย์สินของนักการเมืองทุกคนทุกตำแหน่ง การออกกฎหมายผลประโยชน์ขัดกัน ฯลฯ<br /><span style="color:#ffff66;">กบฏบวชเดช 11 ตุลาคม 2476</span><br /><div><div><div><div><div><div>พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าฝ่ายทหารจากหัวเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ก่อการเพื่อล้มล้างอำนาจของรัฐบาล โดยอ้างว่าคณะราษฎรปกครองประเทศไทยโดยกุมอำนาจไว้แต่เพียงแต่เพียงผู้เดียว และปล่อยให้บุคคลกระทำการหมิ่นองค์พระประมุขของชาติ รวมทั้งจะดำเนินการปกครองโดยลัทธิคอมมิวนิสต์ ตามแนวทางของนายปรีดี พนมยงค์ คณะผู้ก่อการได้ยกกำลังเข้ายึดดอนเมืองเอาไว้ ฝ่ายรัฐบาลได้แต่งตั้ง พ.ท.หลวง พิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการกองกำลังผสม ออกไปปราบปรามจนประสบผลสำเร็จ <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5509352817180986338" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 130px; CURSOR: hand; HEIGHT: 91px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjs8vyCjq69vWurXNeFEKs0OrLMzLv_QCmGl6NQ59TKXgrKd00Hjul1LsmF9J257hkrjCxzz1KiM_lla3ZKVq11YQudTGDiFyWTlcS7N9fzIEg9mzLnp_lcT71sdN1kHo-p3qcthc0qjd-O/s320/62.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#ffff66;">กบฏนายสิบ 3 สิงหาคม 2478<br /></span>ทหารชั้นประทวนในกองพันต่างๆ ซึ่งมีสิบเอกสวัสดิ์ มหะมัด เป็นหัวหน้า ได้ร่วมกันก่อการเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยจะสังหารนายทหารในกองทัพบก และจับพระยาพหลพลพยุหเสนาฯ และหลวงพิบูลสงครามไว้เป็นประกัน รัฐบาลสามารถจับกุมผู้คิดก่อการเอาไว้ได้ หัวหน้าฝ่ายกบฏถูกประหารชีวิต โดยการตัดสินของศาลพิเศษในระยะต่อมา<br /><span style="color:#ffff66;">กบฏพระยาทรงสุรเดช 29 มกราคม 2481</span><br />ได้มีการจับกุมบุคคลผู้คิดล้มล้างรัฐบาล เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ให้กลับไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ดังเดิม นายพันเอกพระยาทรงสุรเดชถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้าผู้ก่อการ และได้ให้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร ต่อมารัฐบาลได้จัดตั้งศาลพิเศษขึ้นพิจารณา และได้ตัดสินประหารชีวิตหลายคน ผู้มีโทษถึงประหารชีวิตบางคน เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร นายพลโทพระยาเทพหัสดิน นายพันเอกหลวงชานาญยุทธศิลป์ ได้รับการลดโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากศาลเห็นว่าเป็นผู้ได้ทำคุณงามความดีให้แก่ประเทศชาติมาก่อน<br /><span style="color:#ffff66;">รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490</span><br />คณะนายทหารกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมี พลโทผิน ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้าสำคัญ ได้เข้ายึดอำนาจรัฐบาล ซึ่งมีพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ แล้วมอบให้นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลต่อไป ขณะเดียวกัน ได้แต่งตั้ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย<br /><span style="color:#ffff66;">กบฏแบ่งแยกดินแดน 28 กุมภาพันธ์ 2491</span><br />จะมีการจับกุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรของภาคตะวันออกเฉียงเหนือหลายคน เช่น นายทิม ภูมิพัฒน์ นายถวิล อุดล นายเตียง ศิริขันธ์ นายฟอง สิทธิธรรม โดยกล่าวหาว่าร่วมกันดำเนินการฝึกอาวุธ เพื่อแบ่งแยกดินแดนภาคอีสานออกจากประเทศไทย แต่รัฐบาลไม่สามารถดำเนินการจับกุมได้ เนื่องจากสมาชิกผู้แทนราษฏรมีเอกสิทธิทางการเมือง <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5509352932582109666" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 118px; CURSOR: hand; HEIGHT: 91px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgaUksgMHkhid_Acg6XFvO5RJArsLln5o41s0PJ8ByDp9p-Zs1y6rEOszBdvWWhqi32FPdTWSSahqQXJmYnEL8dwl09NoobR2ZdO8B5H6tp1EU_pIJGuDtU2PPolNbqEysaDf_ausQKxSfj/s320/63.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#ffff66;">รัฐประหาร 6 เมษายน 2491<br /></span>คณะนายทหารซึ่งทำรัฐประหารเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490 บังคับให้นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วมอบให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้าดำรงตำแหน่งต่อไป<br /><span style="color:#ffff66;">กบฏเสนาธิการ 1 ตุลาคม 2491</span><br />พลตรีสมบูรณ์ ศรานุชิต และพลตรีเนตร เขมะโยธิน เป็นหัวหน้าคณะนายทหารกลุ่มหนึ่ง วางแผนที่จะเข้ายึดอำนาจการปกครอง และปรับปรุงกองทัพจากความเสื่อมโทรม และได้ให้ทหารเข้าเล่นการเมืองต่อไป แต่รัฐบาลซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ทราบแผนการ และจะกุมผู้คิดกบฏได้สำเร็จ<br /><span style="color:#ffff66;">กบฏวังหลวง 26 มิถุนายน 2492</span><br />นายปรีดี พนมยงค์ กับคณะนายทหารเรือ และพลเรือนกลุ่มหนึ่ง ได้นำกำลังเข้ายึดพระบรมมหาราชวัง และตั้งเป็นกองบัญชาการ ประกาศถอดถอน รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และนายทหารผู้ใหญ่หลายนาย พลตรีสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยกาปราบปราม มีการสู้รบกันในพระนครอย่างรุนแรง รัฐบาลสามารถปราบฝ่ายก่อการกบฏได้สำเร็จ นายปรีดี พนมยงค์ ต้องหลบหนออกนอกประเทศอีกครั้งหนึ่ง<br /><span style="color:#ffff66;">กบฏแมนฮัตตัน 29 มิถุนายน 2494</span> <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5509353094840089730" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 130px; CURSOR: hand; HEIGHT: 98px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg5so2zdrRqdiLRKZaKA3pB_H7oCKez6nBJNIiV-KvNYOSudc775n1xpeMAqlFmtL_Af6tEDZIDSbmv0kstBKpiM6q1Arc6LwK-oqwQQ9Tfv5NfhOv-cscaiAUGe3Ywz8jcm8EQCedvsi8-/s320/64.jpg" border="0" /><br />นาวาตรีมนัส จารุภา ผู้บังคับการเรือรบหลวงสุโขทัยใช้ปืนจี้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไปกักขังไว้ในเรือรบศรีอยุธยา นาวาเอกอานน บุญฑริกธาดา หัวหน้าผู้ก่อการได้สั่งให้หน่วยทหารเรือมุ่งเข้าสู่พระนครเพื่อยึดอำนาจ และประกาศตั้งพระยาสารสาสน์ประพันธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เกิดการสู้รบกันระหว่างทหารเรือ กับทหารอากาศ จอมพล ป. พิบูลสงคราม สามารถหลบหนีออกมาได้ และฝ่ายรัฐบาลได้ปรามปรามฝ่ายกบฏจนเป็นผลสำเร็จ<br /><span style="color:#ffff66;">รัฐประหาร 29 พฤศจิกายน 2494<br /></span>จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจตนเอง เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้ ต้องใช้วิธีการให้ตำแหน่งและผลประโยชน์ต่างๆ แก่บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนอยู่เสมอ ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2492 ซึ่งใช้อยู่ในขณะนั้น มีวิธีการที่เป็นประชาธิปไตยมากเกินไป จึงได้ล้มเลิกรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวเสีย พร้อมกับนำเอารัฐธรรมนูฉบับลงวันที่ 10 ธันวาคม 2475 มาใช้อีกครั้งหนึ่ง<br /><span style="color:#ffff66;">กบฏสันติภาพ 8 พฤศจิกายน 2497</span><br />นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา) และคณะถูกจับในข้อหากบฏ โดยรัฐบาลซึ่งขณะนั้นมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เห็นว่าการรวมตัวกันเรี่ยไรเงิน และข้าวของไปแจกจ่ายแก่ประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งขณะนั้นกำลังประสบกับความเดือดร้อน เนื่องจากความแห้งแล้งอย่างหนัก เป็นการดำเนินการที่เป็นภัยต่อรัฐบาล นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ กับคณะถูกศาลตัดสินจำคุก 5 ปี<br /><span style="color:#ffff66;">รัฐประหาร 16 กันยายน 2500</span><br />จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นหัวหน้าคณะนายทหารนำกำลังเข้ายึดอำนาจของรัฐบาลซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังจากเกิดการเลือกตั้งสกปรก และรัฐบาลได้รับการคัดค้านจากประชาชนอย่างหนัก จอมพล ป. พิบูลสงคราม และพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ต้องหลบหนีออกไปนอกประเทศ<br /><span style="color:#ffff66;">รัฐประหาร 20 ตุลาคม 2501 <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5509353639717474722" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 118px; CURSOR: hand; HEIGHT: 81px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhB2gVDPGA2x5nUlYUPHzumnoh6sySnzOvt1wZXQgi7Oov2DxTzSqgO5ea8-N2v2gR5uiRljenWEExm8w6ikHjeNPq3yguHDEZKaj_G4ytKq4eDtd1bJVoK5KRq2gj3UMEljkTeTJDfBwmw/s320/65.jpg" border="0" /><br /></span>เป็นการปฏิวัติเงียบอีกครั้งหนึ่ง โดยจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ในขณะนั้น ลากออกจากตำแหน่ง ในขณะเดียวกันจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น ได้ประกาศยึดอำนาจการปกครองประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากเกิดการขัดแย้งในพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล และมีการเรียกร้องผลประโยชน์หรือตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง เป็นเครื่องตอบแทนกันมาก คณะปฏิวัติได้ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยกเลิกพระราชบัญญัติพรรคการเมือง และให้สภาผู้แทน และคณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลง<br /><span style="color:#ffff66;">รัฐประหาร 17 พฤศจิกายน 2514<br /></span>จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทำการปฏิวัติตัวเอง ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขึ้นทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ และให้ร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายในระยะเวลา 3 ปี<br /><span style="color:#ffff66;">ปฏิวัติโดยประชาชน 14 ตุลาคม 2516<br /></span>การเรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญของนิสิตนักศึกษา และประชาชนกลุ่มหนึ่งได้แผ่ขยายกลายเป็นพลังประชาชนจำนวนมาก จนเกิดการปะทะสู้รบกันระหว่างรัฐบาลกับประชาชน เป็นผลให้จอมพลถนอม กิตติขจร นายักรัฐมนตรี จอมพลประภาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร ต้องหลบหนีออกนอกประเทศ<br /><span style="color:#ffff66;">ปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน 6 ตุลาคม 2519</span><br />พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ และคณะนายทหารเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศ เนื่องจากเกิดการจลาจล และรัฐบาลพลเรือนในขณะนั้นยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยทันที คณะปฏิวัติได้ประกาศให้มีการปฏิวัติการปกครอง และมอบให้นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี<br /><span style="color:#ffff66;">รัฐประหาร 20 ตุลาคม 2520</span><br />พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้าคณะนายทหารเข้ายึดอำนาจของรัฐบาล ซึ่งมีนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากรัฐบาลได้รับความไม่พอใจจากประชาชน และสถานการณ์จะก่อให้เกิดการแตกแยกระหว่างข้าราชการมากยิ่งขึ้น ประกอบกับเห็นว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ในการปฏิรูปการปกครอง ซึ่งมีระยะเวลาถึง 12 ปีนั้นนานเกินไป สมควรให้มีการเลือกตั้งขึ้นโดยเร็ว <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5509353877933047202" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 124px; CURSOR: hand; HEIGHT: 74px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEheL6SoGiuIRVfblw-aT6IxImtGolpuTOYHTFQpSBSYa_F7Sgk8ZaqK7RmPEjd-BOL8932y8-RtBUK_vLJGiqx1YF9e_KD53SCBImjvJmbredh_sVGX6MIMSLK548MaEPo08-lN3lBP3z40/s320/67.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#ffff66;">กบฎ 26 มีนาคม 2520</span><br />พลเอกฉลาด หิรัญศิริ และนายทหารกลุ่มหนึ่ง ได้นำกำลังทหารจากกองพลที่ 9 จังหวัดกาญจนบุรี เข้ายึดสถานที่สำคัญ 4 แห่ง คือ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกสวนรื่นฤดี กองบัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า สนามเสือป่า และกรมประชาสัมพันธ์ ฝ่ายทหารของรัฐบาลพลเรือน ภายใต้การนำของ พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลอากาศเอกกมล เดชะตุงคะ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพลเอกเสริม ณ นคร ผู้บัญชาการทหารบก ได้ปราบปรามฝ่ายกบฏเป็นผลสำเร็จ พลเอกฉลาด หิรัญศิริ ถูกประหารชีวิตตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาศัยอำนาจตามมาตรา 21 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2520<br /><span style="color:#ffff66;">กบฎ 1 เมษายน 2524</span><span style="color:#ffff66;"><br /></span>พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา ด้วยความสนับสนุนของคณะนายทหารหนุ่มโดยการนำของพันเอกมนูญ รูปขจร และพันเอกประจักษ์ สว่างจิตร ได้พยายามใช้กำลังทหารในบังคับบัญชาเข้ายึดอำนาจปกครองประเทศ ซึ่งมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเกิดความแตกแยกในกองทัพบก แต่การปฏิวัติล้มเหลว ฝ่ายกบฏยอมจำนนและถูกควบคุมตัว พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา สามารถหลบหนีออกไปนอกประเทศได้ ต่อมารัฐบาลได้ออกกฏหมายนิรโทษกรรมแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องการกบฏในครั้งนี้<br /><span style="color:#ffff66;">การก่อความไม่สงบ 9 กันยายน 2528</span><br />พันเอกมนูญ รูปขจร นายทหารนอกประจำการ ได้นำกำลังทหาร และรถถังจาก ม.พัน 4 ซึ่งเคยอยู่ใต้บังคับบัญชา และกำลังทหารอากาศโยธินบางส่วน ภายใต้การนำของนาวาอากาศโทมนัส รูปขจร เข้ายึดกองบัญชาการทหารสูงสุด และประกาศให้ พลเอกเสริม ณ นคร เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองของประเทศ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในขณะที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี และพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก อยู่ในระหว่างการไปราชการต่างประเทศ กำลังทหารฝ่ายรัฐบาลโดยการนำของพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ รองผู้บัญชากรทหารสูงสุด ได้รวมตัวกันต่อต้านและควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ในเวลาต่อมา พันเอกมนูญ รูปขจร และนาวาอากาศโทมนัส รูปขจร หลบหนีออกนอกประเทศ การก่อความไม่สงบในครั้งนี้มีอดีตนายทหารผู้ใหญ่หลายคน ตกเป็นผู้ต้องหาว่ามีส่วนร่วมอยู่ด้วย ได้แก่ พลเอกเสริม ณ นคร พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พลอากาศเอกพะเนียง กานตรัตน์ พลเอกยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา และพลอากาศเอกอรุณ พร้อมเทพ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด<br /><span style="color:#ffff66;">รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534<br /></span>โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติซึ่งประกอบด้วย ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ เจ้าหน้าที่-ตำรวจ และพลเรือน ภายใต้การนำของพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ พลเอกสุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารบก พลเรือเอกประพัฒน์ กฤษณ-จันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พลอากาศเกษตร โรจนนิล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พลตำรวจเอกสวัสดิ์ อมร-วิวัฒน์ อธิบดีกรมตำรวจ รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ และพลเอกอสิระพงศ์ หนุนภักดี รองผู้บัญชาการทหารบก เลขาธิการคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองจากพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 ตั้งนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี </div><br /><div></span><span style="color:#cc33cc;">จัดทำโดย น.ส. นิรุชา พูลสวัสดิ์ เลขที่ 24 ชั้นม.4/4</span></div></div></div></div></div></div></div>Worky In Lovehttp://www.blogger.com/profile/13254019465241228333noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2675407144234424394.post-21315047434972076882010-08-25T05:44:00.000-07:002010-08-25T06:25:42.195-07:00การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิ.ย. 2475<div><div><div><div><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgdl_Jd4b2HkZhtIbHgNE5CjSxEiQhtmFyFGrKTnelLADdQ1so7yCysb-XOI7kyTP1AL-qgEQhHIAGV7bS_Sn_ntutpHW018yAUairHWq7rAU3JxeBjuw7_dEL1ilFgPjZZudD63ozGxU8/s1600/41.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5509332682234054386" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 114px; CURSOR: hand; HEIGHT: 117px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgdl_Jd4b2HkZhtIbHgNE5CjSxEiQhtmFyFGrKTnelLADdQ1so7yCysb-XOI7kyTP1AL-qgEQhHIAGV7bS_Sn_ntutpHW018yAUairHWq7rAU3JxeBjuw7_dEL1ilFgPjZZudD63ozGxU8/s320/41.jpg" border="0" /></a><span style="color:#cc9933;"><span style="color:#3333ff;">การเตรียมการเปลี่ยนแปลง<br /></span>คณะราษฎรได้มีการประชุมเตรียมการหลายครั้ง รวมถึงได้มีการล้มเลิกแผนการบางแผนการ เช่น การเข้ายึดอำนาจในวันพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาซึ่งตรงกับวันที่ 16 มิถุนายน แต่เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง จนกระทั่งสุดท้ายได้ข้อสรุปว่าจะดำเนินการในเช้าวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับที่วังไกลกังวล ทำให้เหลือข้าราชการเพียงไม่กี่คนอยู่ในกรุงเทพทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะรุนแรงที่เสียเลือดเนื้อได้<br />ในการวางแผนดังกล่าวกระทำที่บ้าน ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี ในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยมีเป้าหมายสำคัญในการวางแผนควบคุมสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร โดยมีการเลื่อนวันเข้าดำเนินการหลายครั้งเพื่อความพร้อม<br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5509332801497777122" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 84px; CURSOR: hand; HEIGHT: 138px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgWJBCBezKLWZ7pPcoHevEz86yGaL0HYQq4abfaqOvLNUJZqEqqm1kqsEhthxEzt03D9ATMWCylP6ZfaNqNOKd6-1n2fyhYID_WAqTQ5kVGN8mKiCAXNh_8qXauuZ7_TUt-xlaEdVB_Wpa3/s320/42.jpg" border="0" /><br />หลังจากนั้นยังได้มีการประชุมกำหนดแผนการเพิ่มเติมอีกที่บ้านพระยาทรงสุรเดช โดยมีการวางแผนว่าในวันที่ 24 มิถุนายนจะดำเนินการอย่างไร และมีการแบ่งงานให้แต่ละกลุ่ม <span style="color:#3333ff;">แบ่งออกเป็น 4 หน่วยด้วยกัน คือ</span><br /><span style="color:#cc33cc;">หน่วยที่ 1</span> ทำหน้าที่ทำลายการสื่อสารและการคมนาคมที่สำคัญ เช่น โทรศัพท์ โทรเลข ดำเนินการโดยทั้งฝ่ายทหารบกและพลเรือน ทหารบกจะทำการตัดสายโทรศัพท์ของทหาร ส่วนโทรศัพท์กลางที่วัดเลียบมี นายควง อภัยวงศ์ นายประจวบ บุนนาค นายวิลาศ โอสถานนท์ ดำเนินการ โดยมีทหารเรือทำหน้าที่อารักขา ส่วนสายโทรศัพท์และสายโทรเลขตามทางรถไฟและกรมไปรษณีย์เป็นหน้าที่ของ หลวงสุนทรเทพหัสดิน หม่อมหลวงอุดม สนิทวงศ์ หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์ เป็นต้น ซึ่งหน่วยนี้ยังรับผิดชอบคอยกันมิให้รถไฟจากต่างจังหวัดแล่นเข้ามาด้วย โดยเริ่มงานตั้งแต่เวลา 06.00 น.<br /><span style="color:#cc33cc;">หน่วยที่ 2</span> เป็นหน่วยเฝ้าคุม โดยมากเป็นฝ่ายพลเรือนผสมกับทหาร ทำหน้าที่ควบคุมตัวเจ้านายและบุคคลสำคัญต่าง ๆ เช่น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์บวรพินิต จากวังสวนผักกาดมายังพระที่นั่งอนันตสมาคม พระประยุทธอริยั่น จากกรมทหารบางซื่อ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการวางแผนให้เตรียมรถยนต์สำหรับลากปืนใหญ่มาตั้งเตรียมพร้อมไว้ โดยทำทีท่าเป็นตรวจตรารถยนต์อีกด้วย โดยหน่วยนี้ดำเนินงานโดย นายทวี บุณยเกตุ นายจรูญ สืบแสง นายตั้ว ลพานุกรม หลวงอำนวยสงคราม เป็นต้น โดยฝ่ายนี้เริ่มงานตั้งแต่เวลา 01.00 น.<br /><span style="color:#cc33cc;">หน่วยที่ 3</span> เป็นหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนย้ายกำลัง ซึ่งทำหน้าที่ประสานทั้งฝ่ายทหารบกและทหารเรือ เช่น ทหารเรือจะติดไฟเรือรบ และเรือยามฝั่ง ออกเตรียมปฏิบัติการณ์ตามลำน้ำได้ทันที<br /><span style="color:#cc33cc;">หน่วยที่ 4</span> เป็นฝ่ายที่เรียกกันว่า "มันสมอง" มี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ร่างคำแถลงการณ์ ร่างรัฐธรรมนูญ และหลักกฎหมายปกครองประเทศต่าง ๆ รวมทั้งการเจรจากับต่างประเทศเพื่อทำความเข้าใจภายหลังการปฏิบัติการสำเร็จแล้ว <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5509333041745462194" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 123px; CURSOR: hand; HEIGHT: 76px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjqiATNiuu7c1hUsGYKN8FY-dwrmDJogrMrm2Ppdh1C54lQ4c4S-OezpM_5ZrnTJ2nOfuuu2jqZSySkiIc4uonEmbXVqBR43KHRcs3m1pRR8xKJV24GNE0zt1C6h3s2dql3CeAs_BN0CcIU/s320/43.jpg" border="0" /><br />แม้ว่าทางคณะราษฎรจะพยายามที่ทำลายหลักฐานต่าง ๆ แล้ว ยังมีข่าวเล็ดรอดไปยังทางตำรวจ ซึ่งได้ออกหมายจับกลุ่มผู้ก่อการ 4 คน คือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม พ.ต. หลวงพิบูลสงคราม ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี และ นายตั้ว ลพานุกรม อย่างไรก็ตามเมื่อนำเข้าแจ้งแก่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์บวรพินิต ก็ถูกระงับเรื่องไว้ก่อน เนื่องจากไม่ทรงเห็นว่าน่าจะเป็นอันตราย และให้ทำการสืบสวนให้ชัดเจนก่อน การยึดอำนาจในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 หมุดคณะราษฎรคอมมอนส์ มีภาพและสื่ออื่นๆ เกี่ยวกับ หมุดคณะราษฎรเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ได้ใช้กลลวง นำทหารบกและทหารเรือมารวมตัวกันบริเวณรอบ พระที่นั่งอนันตสมาคม ประมาณ 2000 คน ตั้งแต่เวลาประมาณ 5 นาฬิกา โดยอ้างว่าเป็นการสวนสนาม จากนั้นนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้อ่าน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑ ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เสมือนประกาศยึดอำนาจการปกครอง ก่อนจะนำกำลังแยกย้ายไปปฏิบัติการต่อไป<br />หลักฐานประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นหมุดทองเหลืองฝังอยู่กับพื้นถนนบนลานพระบรมรูปทรงม้าด้านสนามเสือป่า ณ ตำแหน่งที่พระยาพหลพลพยุหเสนาอ่านประกาศคณะราษฎร นิยมเรียกกันว่า หมุดคณะราษฎร มีข้อความว่า "ณ ที่นี้ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ"<br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5509333262436906834" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 146px; CURSOR: hand; HEIGHT: 109px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhv02qHvfmzG1z0eFSYj0AAKmzHMAB-i7NbZpULpUwkx4lc8OO7UTYLRfiNIzhFVGI42c8lxAZp4TSb_mqkUTy4KynR2wxUTXZDYwxJPDZ5oEFI_dtmVSQE3cMZY9hVBjBwhSv-gdv__Akv/s320/44.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#3333ff;">วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง<br />ทุกวันที่ 24 มิถุนายน ของทุกปี<br /></span><br />การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 คือ การปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยคณะราษฎร ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475<br />เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ได้ใช้กลลวง นำทหารบกและทหารเรือมารวมตัวกันบริเวณรอบ พระที่นั่งอนันตสมาคม ประมาณ 2000 คน ตั้งแต่เวลาประมาณ 5 นาฬิกา โดยอ้างว่าเป็นการสวนสนาม จากนั้นนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้อ่าน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เสมือน ประกาศยึดอำนาจการปกครอง ก่อนจะนำกำลังแยกย้ายไปปฏิบัติการต่อไป<br />หลักฐานประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นหมุดทองเหลือง ฝังอยู่กับพื้นถนน บนลานพระบรมรูปทรงม้า ด้านสนามเสือป่า (ถ้าหันหน้าไปทางเดียวกับหัวม้า จะอยู่ทางด้านซ้ายมือ) มีข้อความว่า "ณ ที่นี้ 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎร ได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ เพื่อความเจริญของชาติ" เป็นหลักฐานถึงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์เมื่อ 72 ปีก่อน ข้อความเหล่านี้นับวันแต่จะเลือนหายไปตามกาลเวลา<br />คณะราษฎรที่ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทยจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 นั้น<span style="color:#3333ff;">ประกอบด้วยคนสองกลุ่ม คือ</span><br /><span style="color:#cc33cc;">กลุ่มนักเรียนไทยในต่างประเทศ<br />กลุ่มนายทหารในประเทศไทย<br /></span>บุคคลทั้งสองกลุ่มพื้นฐานการศึกษาคล้ายกัน คือ ศึกษาวิชาพื้นฐานหรือวิชาชีพจากประเทศทางตะวันตก ใกล้ชิดกับการปกครองของประเทศที่ตนไปศึกษา คือ ได้สัมผัสกับบรรยากาศการปกครองในระบอบประธิปไตย เห็นความเจริญก้าวหน้าจากการที่ประชาชนในยุโรปตะวันตกมีส่วนร่วมในการปกครอง ประกอบกับบุคคลทั้งสองกลุ่มเป็นบุคคลที่มีสติปัญญาสูง ส่วนใหญ่ได้รับทุนเล่าเรียนหลวง จึงกำหนดในความคิดว่าตนควรจะมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ<br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5509333539136617650" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 95px; CURSOR: hand; HEIGHT: 133px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgYAMKioHMYpYLSEFwr9Qe3wu29-HcVQbmqo3hAFQIHIQCAYTlGzKlZcHjrtjgzU4vXlajVtWP9MyLzTLF3CEDldILWstip5t3zfo32UAiZ9hzj0QP1ugMJ_815OmaQI1B3EPcnxUvsGhuh/s320/46.jpg" border="0" /><br />คณะผู้ก่อการยึดอำนาจการปกครอง ได้รวมกลุ่มกันที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ พ.ศ. 2469 ได้มีข้อขัดแย้งกับผู้ดูแลนักเรียนไทยในฝรั่งเศสซึ่งเป็นพระราชวงศ์องค์หนึ่ง ซึ่งกล่าวหาว่านักเรียนไทยเป็นพวกหัวรุนแรง ไม่ปฏิบัติตามระเบียบวินัย ควรเรียกบางคนกลับประเทศไทยำให้นักเรียนในต่างประเทศมีพื้นฐานการไม่พอใจสถานการณ์บ้านเมืองเป็นส่วนตัว คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เป็นนักเรียนไทยในต่างประเทศเมื่อกลับมาถึงประเทศไทย ก็ได้เตรียมการวางแผนยึดอำนาจโดยชักชวนให้กลุ่มนายทหารเข้าร่วมด้วย การยึดอำนาจการปกครองของประเทศไทยมีผู้กระทำมาครั้งหนึ่งแล้วใน ร.ศ.130 กระทำไม่สำเร็จ ดังนั้นคณะราษฎรจึงได้วางแผนอย่างดีป้องกันข้อบกพร่องที่อาจมีขึ้น และการชัดชวนทหารเข้าร่วมด้วยจึงทำให้เกิดความสำเร็จเพราะทหารมีอาวุธ ผู้บริหารประเทศยินยอมให้คณะราษฎรยึดอำนาจไม่โต้แย้ง ด้วยเกรงว่าพระบรมวงศานุวงศ์จนถึงประชาชนจะเป็นอันตรายเพราะอาวุธ<br /><span style="color:#3333ff;">ชนวนที่ทำให้คณะราษฎรลงมือวางแผนยึดอำนาจมีหลายสาเหตุ ได้แก่</span><br /><span style="color:#cc33cc;">สาเหตุแรก</span> สภาพบ้านเมืองในช่วงเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาอภิรัฐมนตรีสภาซึ่งสมาชิกทั้งหมดเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ด้วยเหตุผลที่จำให้แก้สถานการณ์ที่กล่าวว่า พระมหากษัตริย์กับพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่แตกแยกกัน อภิรัฐมนตรีสภาช่วยแบ่งเบาพระราชกรณียกิจได้หลายประการแต่ความคิดของผู้ใหญ่และของผู้เยาว์กว่าย่อมแตกต่างกัน ดังนั้นการยับยั้งข้อเสนอบางเรื่องโดยเฉพาะพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเย้าอยู่หัวที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้ประชาชนชาวไทยในวาระราชวงศ์จักรีทรงปกครองแผ่นดินมาครบ 150 ปี จึงทำให้คณะราษฎรและกลุ่มหนังสือพิมพ์มองว่า พวกเจ้าหลงกับอำนาจ<br /><span style="color:#cc33cc;">สาเหตุที่สอง</span> ได้แก่ ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศรายได้ไม่พอกับรายจ่าย สืบเนื่องจากเศรษฐกิจของโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และการใช้จ่ายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว การแก้ไขคือ การดุลข้าราชการ ยุบเลิกหน่วยงานต่าง ๆ ตัดทอนค่าใช้จ่ายของกระทรวง กรม กอง และเก็บภาษีบางประการเพิ่มการแก้ไขดังนี้ก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่ผู้เสียประโยชน์ ในวงการทหารก็เช่นกัน การขัดแย้งเรื่องงบประมาณกระทรวงกลาโหม จนถึงเสนาบดีกระทรวงกลาโหมขอลาออกจากราชการ จึงเป็นเหตุให้นายทหารคิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในขณะที่มีการดุลข้าราชการออก ก็มีกลุ่มบุคคลมองว่าดุลออกเฉพาะสามัญชน ส่วนข้าราชการที่เป็นเจ้าไม่ต้องถูกดุล แล้วยังบรรจุเข้าทำงานแทนสามัญชนอีก ความแตกต่างทางฐานะด้านสังคมก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง<br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5509333454857970466" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 109px; CURSOR: hand; HEIGHT: 117px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh5vjW2-qJB-8shJLjTPbNQslcdPyPprCjM7VFtmqhQoLiIFopNPR5qwoh1D-j_wySxXj1GnmRKHTTNM8NLEItCaKK-ibh_TrmJiYLCrHFl_wO6way7o9TGT4Es4l7iRULP6pXq9l6UgzPR/s320/45.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#cc33cc;">สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือ</span> ความล่าช้าในการบริหารราชการแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์จะฝึกข้าราชการในสภากรรมการองคมนตรีให้เรียนรู้วิธีการประชุม ปรึกษาแบบรัฐสภาเพื่อเตรียมการพระราชทานรัฐธรรมนูญ ก็ทำได้อย่างไม่มีผลเท่าไรนักพระราชบัญญติเทศบาลซึ่งจะเป็นรากฐานของการปกครองตนเองก็ยังไม่ได้ประกาศออกใช้ และข้อสุดท้ายคือ ร่างรัฐธรรมนูญที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้ผู้ชำนาญการร่างไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่ได้พระราชทานแก่ประชาชน<br />การเปลี่ยนแปลงการปกครองกระทำได้สำเร็จ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชน การปกครองของประเทศจึงเปลี่ยนไป คือมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ</span></div><div><span style="color:#cc9933;"></span> </div><div><span style="color:#cc33cc;">จัดทำโดย น.ส. นิรุชา พูลสวัสดิ์ เลขที่ 24 ชั้น ม.4/4</span></div></div></div></div></div>Worky In Lovehttp://www.blogger.com/profile/13254019465241228333noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2675407144234424394.post-69257002844316788372010-08-18T06:43:00.000-07:002010-08-18T08:06:41.191-07:00กบฎ ร.ศ.130<p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5506753601530134066" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 192px; CURSOR: hand; HEIGHT: 119px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiqQa3uJd5EDGtxRD-Ri93dAz4GLIhS83zt_4ouZl4Uw-LOZ70t4pfr-BV0vFQZxomaVMwAm1dCgIcBYSzxP5FKeNs9qRnSqYHcMHMDwqtv7jYesbaQ9He59gxHkX4-6Jfza44do63VZgJ8/s320/11.jpg" border="0" /><span style="font-size:130%;color:#999900;"><span style="color:#3366ff;">กบฏ ร.ศ. 130</span> หรือ กบฏเก็กเหม็ง หรือ กบฏน้ำลาย เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2455 (ร.ศ. 130) ก่อนการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 สองทศวรรษในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อนายทหารและปัญญาชนกลุ่มหนึ่ง วางแผนปฏิบัติการโดยหมายให้พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญให้ และเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่แผนการแตกเสียก่อน จึงมีการจับกุมผู้คิดก่อการหลายคนไว้ได้ 91 คน คณะตุลาการศาลทหารมีการพิจารณาตัดสินลงโทษให้จำคุกและประหารชีวิต โดยให้ประหารชีวิตหัวหน้าผู้ก่อการจำนวน 3 คน คือ ร.อ.เหล็ง ศรีจันทร์ ร.ท.จรูญ ณ บางช้าง และ ร.ต.เจือ ศิลาอาสน์ ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต 20 คน จำคุกยี่สิบปี 32 คน จำคุกสิบห้าปี 6 คน จำคุกสิบสองปี 30 คน แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย และได้มีพระบรมราชโองการพระราชทานอภัยโทษ ละเว้นโทษประหารชีวิต ด้วยทรงเห็นว่า ทรงไม่มีจิตพยาบาทต่อผู้คิดประทุษร้ายแก่พระองค์<br />คณะผู้ก่อการได้รวมตัวกันเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2455 ประกอบด้วยผู้ร่วมคณะเริ่มแรกจำนวน 7 คน คือ<br />ร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์ (หมอเหล็ง ศรีจันทร์) เป็นหัวหน้า<br />ร.ต.เหรียญ ศรีจันทร์ จาก กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์<br />ร.ต.จรูญ ษตะเมษ จากกองปืนกล รักษาพระองค์<br />ร.ต.เนตร์ พูนวิวัฒน์ จาก กองปืนกล รักษาพระองค์<br />ร.ต.ปลั่ง บูรณโชติ จาก กองปืนกล รักษาพระองค์<br />ร.ต.หม่อมราชวงศ์แช่ รัชนิกร จาก โรงเรียนนายสิบ<br />ร.ต.เขียน อุทัยกุล จาก โรงเรียนนายสิบ <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5506754102355058082" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 167px; CURSOR: hand; HEIGHT: 113px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQRpEeJOJEG5db5VKyVjeYlTK3DCuFiDcuezLlt76gIwJ_R7c0-qNFTrubl2rGxlWfgB5pGgyCFwLpenjDiDFG1mpNIBE8BOXCrclm_db9Wx6xiQ7QZyI0sZFrZLXstJ3Fzr_dl0EenCw0/s320/12.jpg" border="0" /><br />คณะผู้ก่อการวางแผนจะก่อการในวันที่ 1 เมษายน ซึ่งเป็นวันพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และวันขึ้นปีใหม่ ผู้ที่จับฉลากว่าต้องเป็นคนลงมือลอบปลงพระชนม์ คือ ร.อ.ยุทธ คงอยู่ (หลวงสินาด โยธารักษ์) เกิดเกรงกลัวความผิด จึงนำความไปแจ้งหม่อมเจ้าพันธุ์ประวัติ ผู้บังคับการกรมทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ และพากันนำความไปแจ้ง สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ<br />ความทราบไปถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประทับอยู่ที่พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม คณะทั้งหมดจึงถูกจับกุมเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถูกส่งตัวไปคุมขังที่คุกกองมหันตโทษ ที่สร้างขึ้นใหม่ และได้รับพระราชทานอภัยโทษในพระราชพิธีฉัตรมงคล เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2467 ครบรอบปีที่ 15 ของการครองราชย์<br />ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดจาก เมื่อตอนปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 พ.ศ. 2452 ได้เกิดการทะเลาะวิวาทกันระหว่างทหารราบที่ 1 กับพวกมหาดเล็กบางคนของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ในการที่ได้มีเหตุวิวาทนั้น ได้ความว่า เพราะเรื่องหญิงขายหมากคนหนึ่ง การทะเลาะวิวาทกันอย่างฉกรรจ์นี้ เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทรงทราบ ก็ได้รับสั่งให้ผู้บังคับบัญชาการทหารราบที่ 2 ทำการสอบสวน และภายหลังการสอบสวนได้ความว่า หัวหน้าคือ ร.อ. โสม ซึ่งให้การรับสารภาพ ดังนั้น ร.อ.โสม กับพวกอีก 5 คน จึงถูกคุมขัง เพื่อรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาต่อไป<br />สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชได้นำความขึ้นกราบบังคมทูล สมเด็จพระบรมชนกนาถ ขอให้ลงพระอาญาเฆี่ยนหลังทหารเหล่านั้นตามจารีตประเพณีนครบาล ในการกระทำอุกอาจถึงหน้าประตูวังของรัชทายาท แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงเห็นด้วย เสด็จในกรมราชบุรี นักกฏหมายได้ชี้แจงว่า ควรจะจัดการไปตามกฏหมาย เพราะได้ใช้ประมวลกฏหมายอาญาเยี่ยงอารยประเทศแล้ว จึงไม่ควรนำเอาจารีตนครบาล ซึ่งได้มีพระบรมราชโองการประกาศยกเลิกไปแล้วกลับมาใช้อีก แต่คำคัดค้านทั้งหลายไม่เป็นผล สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชยังทรงยืนกรานจะให้โบยหลังให้ได้ มิฉะนั้นจะทรงลาออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาททันที สมเด็จพระบรมชนกนาถ ทรงเห็นการณ์ไกลว่า ถ้าไม่ตามพระทัย เรื่องอาจจะลุกลามกันไปใหญ่โต จึงทรงอนุมัติไปตามคำขอ<br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5506754555925358898" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 124px; CURSOR: hand; HEIGHT: 100px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUeLUU8LsNTI3JMo0pfKJrSKAm_wrQZ05W93SNAER1jtcDZq4O0lCh8vn5x93j2d9KwLKpvnnnM7R1Qi6ML2BCbcaUEYxWiFPMdc_qB6TP4A8e1IFJmx7_aRg_iVlpZUhPVHA66_sEE2Go/s320/15.jpg" border="0" /><br />จากพฤติกรรมดังกล่าวนี้ ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่ทหารทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง นักเรียนนายร้อยทหารบก พากันไม่ยอมเข้าเรียน แต่ผู้บัญชาการโรงเรียนทหารบกขณะนั้น คือสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ได้ทรงอธิบายปลอบโยน ด้วยข้อความอันซาบซึ้งตรึงใจ นักเรียนนายร้อยเหล่านั้นจึงได้ยอมเข้าเรียนตามปกติ แล้วเหตุการณ์นั้นก็ผ่านไป<br />ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2453 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่6 พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งกองเสือป่าขึ้น และเอาพระทัยใส่ในกิจการนี้เป็นอย่างดี นายทหารรุ่นที่สำเร็จจากโรงเรียนนายร้อยรุ่นปลาย ร.ศ.128 เรียกรุ่นนั้นว่า "ร.ศ.129" ก็ได้เข้าประจำการตามกรมกองต่างๆ ทั่วพระราชอาณาจักร บางคนยังไม่ลืมเหตุการณ์เฆี่ยนหลังนายทหารตั้งแต่คราวนั้น และยังสะเทือนใจอยู่ และประกอบกับมีความรู้สึกว่า "กองเสือป่า" ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งนั้น ก็มิใช่ลูกเลือ เป็นกิจกรรมที่ตั้งซ้ำกับการทหาร และยังทำงานชิงดีชิงเด่นกับทหารแห่งชาติเสียด้วย ย่อมทำให้ความมั่นคงของชาติเสื่อมสลายลงเป็นอย่างมาก<br />เสือป่าในกองนั้น ส่วนมากก็คือราชการในพระราชสำนัก เป็นกองที่ทรงสนพระทัยอย่างใกล้ชิด จนคนภายนอกที่ไม่ได้เข้า หรือเข้าไม่ได้ ต่างพากันคิดผิดไป จนเกิดความริษยา ในขั้นแรกที่ว่าการเสือป่าในกรุงเทพฯ ก็โปรดปรานให้มีสโมสรเป็นอย่างดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จที่สโมสรเสือป่าเกือบทุกวัน เพื่อทอดพระเนตรการฝึก สำหรับสโมสรเสือป่านั้น เสื่อป่าทุกชั้น จนถึงพลเสือป่าถึงเข้าเป็นสมาชิกได้ ข้าราชการและคนอื่นๆ จึงนิยมสมัครเข้าเป็นเสือป่า แต่ผู้ที่เป็นทหารประจำการอยู่แล้ว เข้าไปในสโมสรเสือป่าไม่ได้ ก็เกิดมีความเสียใจว่า ทหารถูกกีดกันไม่ให้เข้าใกล้พระเจ้าอยู่หัว จึงอยากจะเป็นสมาชิกสโมสรเสือป่าบ้าง เมื่อความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ และเพราะน้ำพระทัยอันเต็มเปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณา จึงโปรดให้ทหารเข้าเป็นสมาชิกสโมสรนั้นได้ โดยต้องสมัครเป็นเสือป่าด้วย เพราะการเป็นนายทหารสัญญาบัตร มิได้หมายความว่าเป็นนายเสือป่าสัญญาบัตรด้วย จึงเกิดเป็นภาพที่ออกจะแปลก เมื่อนายทหารสัญญาบัตร ถึงชั้นอาวุโสในกองทัพบก ทัพเรือ ในตอนเย็นกลับกลายเป็นพลเสือป่าไปฝึกอยู่ที่หน้าสโมสร พระราชวงศ์ถวายการสนับสนุนเรื่องกองเสือป่าเป็นอย่างดี และมักจะได้รับตำแหน่งเป็นผู้บังคับการพิเศษ กรมเสื่อป่ารักษาดินแดนมณฑล เช่นทูลกระหม่อมจักรพงษ์ ทรงเป็นนายกกองเอกพิเศษ ของกองรักษาดินแดนมณฑลพิษณุโลก ทูลกระหม่อมบริพัตร เป็นของมณฑลนครสวรรค์ เป็นต้น แต่ถึงกระนั้นในตอนต้นๆ ก็ไม่ทำให้ทหารเลิกรังเกียจเสือป่าได้<br />แต่ความไม่พอใจของทหารหนุ่มหมู่หนึ่งนั้นยิ่งทวีขึ้น เพราะมองเห็นว่า กิจการของกองเสือป่านั้น ไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่ประเทศชาติบ้านเมือง และเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินโดยไม่จำเป็น เป็นเหตุให้การเศรษฐกิจการคลังของประเทศอยู่ในฐานะฝืดเคือง และเป็นการทรมานข้าราชการผู้เฒ่าชราอย่างน่าสงสาร ทั้งยังทำให้กิจการงานเมืองฝ่ายทหาร และพลเรือนต้องอลเวงสับสน ไม่เป็นอันประกอบกิจการงาน เป็นการเสียทรัพย์ เสียเวลา เสียงานของชาติ และบุคคลบางจำพวกที่อยู่ในราชสำนักขณะนั้น ไม่ทราบซึ่งในพระมหากรุณาธิคุณ ของเจ้านายของตนเพียงพอ ปฎิบัติประพฤติตนไปในทำนองผยองตน ต่อข้าราชการและพลเมืองของชาติ ที่ยังจงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริย์ของเขาอย่างแนบแน่น จนเป็นเหตุให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ แม้กระทั่งหนังสือพิมพ์ก็ลงบทความตำหนิ จนผู้ที่มีใจเป็นธรรมต้องเข้าร่วมเป็นพรรคพวกกับทหารหนุ่มๆ เหล่านั้นด้วย แม้แต่กระทั้ง เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ พระอนุชาของพระองค์ ก็ได้ทรงแสดงพระอาการไม่เป็นที่พอพระทัยมาก จนออกหน้าออกตาความไม่พอใจได้เพิ่มทวียิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปี พ.ศ.2454 หรือ ร.ศ. 130 พวกคิดก่อการโค่นล้มพระราชบัลลังก์ ได้เพิ่มพูนความไม่พอใจขึ้นอีก ด้วยเรื่องของความอิจฉาริษยาเสือป่า ซึ่งถือว่าเป็นหมู่ชนที่ได้รับการโปรดปรานยิ่งกว่าหมู่อื่น จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการตระเตรียมการปฎิวัติขึ้น และแผนการณ์ปฎิวัตินั้นอยู่ในขั้นรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง จนถึงกับจะลอบปลงพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เลยทีเดียว <span style="color:#3366ff;">สมุหฐานที่สำคัญ ในการปฎิวัติครั้งนี้ ที่พอ<br />สรุปได้มีดังนี้ คือ</span> <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5506756562582818658" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 124px; CURSOR: hand; HEIGHT: 86px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjoY6wGs7o-p2BGw8Eo_WS6jDpRkGk9F7TXOFzAiY22qX36CpK_FWWtc-KVRXJ_-eGGdRs1Dl0LVzwawkgG0re1Ch-v2pt7gz8dB0U590vwAOocx-ZZb-XJox1dPWKZnQmkvkDZcJJXzaZD/s320/13.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#ff6600;">1)</span> เนื่องจากพวกจักรวรรดินิยม กดขี่ข่มเหงประเทศต่างๆ ในเอเซีย และได้แลเห็นประเทศจักรวรรดินิยมเหล่านั้น มีความเจริญในด้านต่างๆ จนสามารถปราบปรามประเทศต่างๆในเอเซีย และเรียนรู้การปกครองของประเทศจักรวรรดินิยมเขาทำกันอย่างไร จึงมีความปรารถนาจะให้ประเทศของตนเป็นไปอย่างยุโรปบ้าง<br /><span style="color:#ff6600;">2)</span> พวกคณะปฏิวัติได้เห็นประเทศญี่ปุ่นมีความเจริญก้าวหน้า ภายหลังที่ได้เปลี่ยนการปกครองเป็นประชาธิปไตย จนสามรถรบชนะจีนและรัสเซีย จึงต้องการให้ประเทศสยามมีความก้าวหน้าอย่างนั้นบ้าง<br /><span style="color:#ff6600;">3)</span> เมื่อเห็น ดร.ซุนยัดเซน โค่นบัลลังก์แมนจู เป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน คณะปฎิวัติ ร.ศ. 130 ต้องการให้ประเทศสยามเป็นเช่นนั้นบ้าง<br /><span style="color:#ff6600;">4)</span> คณะปฏิวัติเล็งเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อ่อนแอเหมือนพระเจ้าหลุยส์ที่14 ไม่สนพระทัยในกิจการบ้านเมือง จึงคิดจะปฎิวัติ เพื่อปรับปรุงประเทศอย่างตะวันตก<br /><span style="color:#ff6600;">5)</span> ทหารถูกเหยียดหยาม<br /><span style="color:#ff6600;">6)</span> ความเป็นไปในราชสำนักฟุ่มเฟือย ไร้สารัตถะ<br /><span style="color:#ff6600;">7)</span> ความสิ้นเปลืองเงินแผ่นดินไปโดยไร้ประโยชน์ และมีเหตุอันไม่บังควร<br /><span style="color:#ff6600;">8)</span> มีการแบ่งชั้นวรรณะ ระหว่างผู้ที่เรียกตนเองว่าเจ้า กับไพร่<br /><span style="color:#ff6600;">9)</span> ขุนนางผู้ใหญ่ มีความเสื่อมทรามเหลวแหลก<br /><span style="color:#ff6600;">10)</span> ข้าราชการทำงานเอาตัวรอดไปวันๆ โดยไม่คิดถึงประเทศชาติและบ้านเมือง<br /><span style="color:#ff6600;">11)</span> ราษฎรไม่ได้รับการบำรุงส่งเสริมอย่างจริงจัง<br /><span style="color:#ff6600;">12)</span> ชาวไร่ ชาวนา ถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับการส่งเสริมช่วยเหลือให้ดีขึ้นตามสมควร<br /><span style="color:#ff6600;">13)</span> ทุพภิกขภัย ความอดอยากหิวโหย แผ่ซ่านไปในหมู่กสิกร เมื่อดินฟ้าอากาศไม่เอื้ออำนวยในการเพาะปลูก<br /><span style="color:#ff6600;">14)</span> ทั้งที่เกิดความอดอยากยากจนอยู่ทั่วประเทศ แต่ทางราชการกลับเก็บภาษีเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ราษฎรประสบความเดือดร้อนอย่างสาหัส<br /><span style="color:#ff6600;">15)</span> ผู้รักษากฎหมายใช้อำนาจเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ ประชาชนพลเมือง<br /><span style="color:#ff6600;">16)</span> กดการศึกษาของพลเมือง เพื่อมิให้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เทียบเท่าชนชั้นผู้ปกครอง<br /><span style="color:#ff6600;">17)</span> ความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมืองขาดการทำนุบำรุง </span></p><p><span style="font-size:130%;color:#999900;"><a href="http://quickr.me/UKulwKn">แบบทดสอบหลังเรียน</a></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#999900;">จัดทำโดย น.ส.นิรุชา พูลสวัสดิ์ เลขที่ 24 ชั้นม.4/4</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#999900;">ที่มา <a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/กบฏ_ร.ศ.130">www.panyathai.or.th/wiki/index.php/กบฏ_ร.ศ.130</a></span></p>Worky In Lovehttp://www.blogger.com/profile/13254019465241228333noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2675407144234424394.post-6031411508030429632010-08-15T06:19:00.000-07:002010-08-16T06:07:37.822-07:00การปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5<img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5505634302417552274" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 85px; CURSOR: hand; HEIGHT: 116px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhAMtdzlJXa_JXo_Wx1wYmFFNlegQoXSLU8mhWeN5uxFrXPWtkumTXNyEn9WJWTrrsOYjWgNGiiVFJ5e0FT0jDuyz2-kO5p27Hn7rVDIcvo-R1p46RYxWHVjp3nMr5BrEtOVmYEAUAJKtS6/s320/55.jpg" border="0" /><span style="color:#3366ff;"><span style="color:#cc33cc;">การปฏิรูปการบริหาร (Administrativereform) </span>ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในปี<br />พ.ศ. 2435 นี้นับว่าเป็นการปฏิรูปการปกครองการบริหารที่สำคัญของชาติไทยและนำความเจริญรุ่งเรืองนานัปมาสู่ประเทศชาติและปวงชาวไทย<br />สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดินอย่างขนานใหญ่ ควบคู่ไปกับการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคม เช่น การปรับปรุงระบบบริหารงานคลังและภาษีอากร จัดตั้งกระทรวงต่างๆขึ้น เป็นต้น<br /><span style="color:#cc33cc;">มูลเหตุสำคัญที่ผลักดันให้มีการปฏิรูปการปกครอง มีอยู่ 2 ประการ คือ</span><br /><span style="color:#009900;">1. มูลเหตุภายใน</span><br />- ประเทศไทยมีประชากรเพิ่มขึ้น<br />- การคมนาคมและการติดต่อสื่อสารเริ่มมีความทันสมัยมากขึ้น<br />- การปกครองแบบเดิมจะมีผลทำให้ประเทศชาติขาดเอกภาพในการปกครอง<br /><span style="color:#009900;">2. มูลเหตุภายนอก</span><br />- หากไม่ทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดินย่อมจะเป็นอันตรายต่อเอกราชของชาติ เพราะขณะนั้น จักรวรรดินิยมตะวันตก ได้เข้ามาแสวงหาอาณานิคม </span><div><div><div><span style="color:#3366ff;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5505634447216978338" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 103px; CURSOR: hand; HEIGHT: 136px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjlKunMpwEqX4PxTtiFMUNbL0qwpD1-Gfw_AAtck852lj-Z0m6bdRIa6qLyb8MVdmBkF8SbT_FxIsr_P6VRa__y7yvwU8j5qU3a16BDWTtFnkigG7YstagFmDsxLk6pt6Y_CVVm3TghDLf2/s320/56.jpg" border="0" /><br /></span><span style="color:#3366ff;"><span style="color:#cc33cc;">การปกครองส่วนกลาง</span><br />ทำการปฏิรูปโดยจัดตั้งหน่วยราชการใหม่ เรียกว่า กระทรวง ซึ่งมี ๑๒ กระทรวง ใน พ.ศ.๒๔๓๕ แต่ละกระทรวงมีเสนาบดีรับผิดชอบงานของกระทรวงนั้นๆ กระทรวงต่างๆ ในสมัยปฏิรูปการปกครองแผ่นดินมีดังนี้ <span style="color:#009900;">๑.กระทรวงมหาดไทย</span><br />มีหน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือ และเมืองลาวประเทศราช<br /><span style="color:#009900;">๒.กระทรวงกลาโหม<br /></span>มีหน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ ฝ่ายตะวันออก และเมืองมลายูประเทศราช<br /><span style="color:#009900;">๓.กระทรวงการต่างประเทศ</span><br />มีหน้าที่เกี่ยวกับการต่างประเทศ<br /><span style="color:#009900;">๔.กระทรวงวัง<br /></span>มีหน้าที่รับผิดชอบราชการในพระราชวัง และกรมที่เกี่ยวข้องกับราชการในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br /><span style="color:#009900;">๕.กระทรวงนครบาล</span><br />มีหน้าที่เกี่ยวกับกิจการตำรวจ และราชทัณฑ์ ต่อมาให้รับผิดชอบราชการในเขตแขวงกรุงเทพฯ ราชธานี<br /><span style="color:#009900;">๖.กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ</span><br />มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการเก็บภาษีอากร และเงินที่เป็นรายรับและรายจ่ายในแผ่นดิน<br /><span style="color:#009900;">๗.กระทรวงยุติธรรม</span><br />มีหน้าที่บังคับศาลที่ชำระความทั่วทั้งประเทศทั้งแพ่ง อาญา และอุทธรณ์<br /><span style="color:#009900;">๘.กระทรวงยุทธนาธิการ</span><br />มีหน้าที่รับผิดชอบในกิจการทหารบก และทหารเรือ<br /><span style="color:#009900;">๙.กระทรวงเกษตราธิการ</span><br />มีหน้าที่เกี่ยวกับการเพาะปลูก การป่าไม้ การทำเหมืองแร่ และการค้าขาย<br /><span style="color:#009900;">๑๐.กระทรวงธรรมการ</span><br />มีหน้าที่เกี่ยวกับการศาสนา การศึกษา และการสาธารณสุข<br /><span style="color:#009900;">๑๑.กระทรวงโยธาธิการ</span><br />มีหน้าที่เกี่ยวกับกิจการก่อสร้าง ทำถนน ขุดคลอง การช่างทั่วไป การไปรษณีย์โทรเลข และการรถไฟ ซึ่งวางแผนไว้ว่าจะมีขึ้นภายหลัง<br /><span style="color:#009900;">๑๒.กระทรวงมุรธาธิการ<br /></span>มีหน้าที่เกี่ยวกับการรักษาตราแผ่นดิน รักษาพระราชกำหนดกฎหมายและงานหนังสือราชการทั้งปวง<br />ยิ่งกว่านั้น ยังได้ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาขึ้น ๒ สภา ก็คือ<br />๑.รัฐมนตรีสภา<br />๒.องคมนตรีสภา </span></div><div><span style="color:#3366ff;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5505634616150948722" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 143px; CURSOR: hand; HEIGHT: 73px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjdTQrS2ABBg2i738MMTicZOlSvrH8rtWuekec4zs3HM3YWx0vJ035uRjR63hRvYBnCbLFfQQpTBO4LgU-6FPkP_dSxqrgfvlZ_-mvhd380WYhyphenhyphenphyphenhyphen6FQBgeqioDnvIH6Km07rpi9g48-0c/s320/57.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#cc33cc;">การปกครองส่วนภูมิภาค</span><br /><span style="color:#009900;">๑.มณฑลเทศาภิบาล</span><br />เป็นหน่วยการปกครองส่วนภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุด ประกอบด้วยเมืองตั้งแต่สองเมืองขึ้นไป มีข้าหลวงเทศาภิบาล หรือสมุหเทศาภิบาล ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งเป็นผู้รับผิดชอบ โดยมีตัวแทนของกระทรวงอื่นๆ เป็นผู้ช่วยในการปฏิบัติราชการ<br /><span style="color:#009900;">๒.เมือง</span><br />หรือจังหวัดในปัจจุบัน มีผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้รับผิดชอบ ขึ้นกับข้าหลวงเทศาภิบาลโดยตรง โดยมีข้าราชการอื่นๆ เป็นผู้ช่วย<br /><span style="color:#009900;">๓.อำเภอ<br /></span>มีนายอำเภอซึ่งผู้ว่าราชการเมืองแต่งตั้งเป็นผู้รับผิดชอบ<br /><span style="color:#009900;">๔.ตำบล</span><br />มีกำนันซึ่งได้รับเลือกตั้งมาจากผู้ใหญ่บ้าน และผู้ว่าราชการเมืองแต่งตั้ง เป็นผู้รับผิดชอบ<br /><span style="color:#009900;">๕.หมู่บ้าน</span><br />มีผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งราษฎรเลือกตั้งมา เป็นผู้รับผิดชอบ </span></div><div><span style="color:#3366ff;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5505634733537956306" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 128px; CURSOR: hand; HEIGHT: 96px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTu_OrzER1Di1IfpOijmvBBHnpXi_TS3AAcdZphNZaN0fRzKhe9HtvD_ib3f8kWXJbwjwrtKD23Q5gUdr13WmQ1-xZRqYoHMI_55bxQFwdTcRIlEqh9brx457WD2dmemO2Q03qmPJe4_Rs/s320/58.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#cc33cc;">การปกครองแบบท้องถิ่น</span><br />ทรงเล็งเห็นคุณประโยชน์ของการส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองตนเอง จึงได้ทรงให้มีการปกครองท้องถิ่นโดยการจัดตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอมขึ้นเป็นแห่งแรก เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๘ ในระยะต่อมา จึงได้มีการจัดตั้งสุขาภิบาลขึ้น ถึง ๓๕ แห่ง การปกครองท้องถิ่นในรูปสุขาภิบาลนี้ เป็นการร่วมมือกันระหว่างหัวหน้าหน่วยราชการตำแหน่งต่างๆ ในท้องที่ กับกรรมการอื่นๆ ที่ราษฎรเป็นผู้เลือกขึ้นมา หน้าที่สำคัญๆ ของสุขาภิบาลได้แก่ การรักษาความสะอาด การให้การศึกษาขั้นต้นแก่ราษฎร การอนามัย และการบำรุงรักษาถนนหนทาง<br />การปกครองระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทย ได้ดำรงอยู่จนถึง พ.ศ.๒๔๗๕ จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงมาสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ มีข้าราชการทหารและพลเรือนกลุ่มหนึ่ง ได้แก่การปฏิวัติขึ้น โดยทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ<br /><span style="color:#cc33cc;">สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครองดังกล่าว มีดังนี้<br /></span>๑. เกิดจากอิทธิพลของการมีแนวความคิดในเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่บ้านข้าราชการที่ได้รับการศึกษามาจากยุโรป<br />๒. ฐานะทางการคลังของรัฐบาลเกิดทรุดลง ทำให้ต้องตัดรายจ่ายในด้านต่างๆ ลง ซึ่งรวมถึงบัญชีเงินเดือนของข้าราชการฝ่ายต่างๆ ด้วยจึงเกิดความไม่พอใจขึ้นมา<br />๓. คณะผู้ก่อการหลายคน มีความรู้สึกว่า ตนไม่ได้รับการยอมรับในความสามารถจากเจ้านายบางพระองค์ คณะผู้ก่อการ ซึ่งเรียกว่าตัวเองว่า<br />"คณะราษฎร" ได้จัดตั้งรัฐบาลขึ้น โดยมีพระยามโนปกรณ์ นิติธาดา เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ได้ประกาศให้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ใช้รูปแบบการปกครองระบบรัฐสภา </span></div><div><span style="color:#3366ff;"></span></div><div><span style="color:#cc9933;">จัดทำโดย นางสาวนิรุชา พูลสวัสดิ์ เลขที่ 24 ชั้น ม.4/4</span></div><div><span style="color:#cc9933;">ที่มา <a href="http://www.libraryhub.info/archives/1323">www.libraryhub.info/archives/1323</a></span></div><div><span style="color:#cc9933;"><a href="http://quickr.me/MRju54R">แบบทดสอบหลังเรียน</a></span></div></div></div>Worky In Lovehttp://www.blogger.com/profile/13254019465241228333noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2675407144234424394.post-4265733824354976632010-07-25T03:31:00.000-07:002010-08-04T06:45:25.853-07:00การปกครองสมัยรัตนโกสินทร์<img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5497791179139244818" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 143px; CURSOR: hand; HEIGHT: 107px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFAgiqXimR5mxATf0S7tnWEUWUH-bG2YwEOvWzrL3NNJzP7p0sN1ii8tzLCkyfOafpAlW6aeJVi87OeiKFAgrVDmIrDboWoTXwJG1JJ4LV5w_wAFOaEIYppXNBma3tom3gcu0MUYVinD6z/s320/3.jpg" border="0" /><span style="color:#00cccc;">พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช</span> <span style="color:#cc6600;">เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ.2325 และทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายราชธานีใหม่จากกรุงธนบุรีมายังฝั่งตะวันออก(ฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา)และสร้างกรุงเทพฯ เป็นราชธานีขึ้น ณ ที่แห่งนี้<br /></span><span style="color:#cc33cc;">เหตุผลที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงย้ายราชธานี</span><br /><span style="color:#cc33cc;">1.</span> <span style="color:#cc6600;">พระราชวังเดิมของกรุงธนบุรีคับแคบ มีวัดขนาบอยู่ทั้งสองด้าน คือ วัดอรุณราชวราราม(วัดแจ้ง)และวัดโมฬีโลกยาราม (วัดท้ายตลาด) จึงยากแก่การขยายพระราชวัง<br /></span><span style="color:#cc33cc;">2.</span> <span style="color:#cc6600;">ความไม่เหมาะสมด้านภูมิประเทศ เนื่องจากฝั่งตะวันตกหรือราชธานีเดิมเป็นท้องคุ้ง อาจถูกน้ำกัดเซาะตลิ่งพังได้ง่าย แต่ฝั่งตะวันออก(กรุงเทพ)เป็นแหลมพื้นดินจะงอกอยู่เรื่อยๆ<br /></span><span style="color:#cc33cc;">3.</span> <span style="color:#cc6600;">ความไม่เหมาะสมในการขยายเมืองในอนาคต พื้นที่ฝั่งตะวันออกเป็นที่ราบลุ่มกว้างขวาง สามารถขยายตัวเมืองไปทางเหนือและตะวันออกได้<br /></span><span style="color:#cc33cc;">4.</span> <span style="color:#cc6600;">กรุงธนบุรีไม่เหมาะทางด้านทำเลที่ตั้งยุทธศาสตร์ กล่าวคือ มีแม่น้ำเจ้าพระยาผ่ากลาง เปรียบเสมือนเมืองอกแตก เมื่อใดข้าศึกยกทัพมาตามลำน้ำก็สามารถตีถึงใจกลางเมืองได้ง่าย<br />เมืองหลวงใหม่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์</span> <div><div><div><div><div><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5497792808426397506" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 127px; CURSOR: hand; HEIGHT: 85px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgsVZHfKR96O4FVUThrMgk9PfCnrWAnqeuIsGSwetx3i7SugGzUDDuHlQYZJ9f_k_wKw9bY0I-guV1fKiuIr_KbB_bszMnN-HwDFZNdXq1mcZmPlphrUo8uDyR-6yJU46tmTMSO3ifAxBPV/s320/6.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#cc6600;">บริเวณ เมืองหลวงใหม่ เดิมเรียกว่า บางกอก หรือปัจจุบันคือกรุงเทพมหานครเป็นราชธานีใหม่ของไทย สร้างขึ้นโดยเลียนแบบอยุธยา กำหนดพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วนคือ<br />บริเวณพระบรมมหาราชวัง ประกอบด้วย วังหลวง วังหน้า วัดในพระบรมมหาราชวัง(วัดพระศรีรัตนศาสดาราม)และรวมทั้งทุ่งพระสุเมรุท้องสนามหลวง<br />บริเวณที่อยู่อาศัยภายในกำแพงเมือง อาณาเขตกำแพงเมือง ประตูเมือง และป้อมปราการสร้างขึ้นตามแนวคลองรอบกรุง ได้แก่ คลองบางลำภู และคลองโอ่งอ่าง<br />บริเวณที่อยู่อาศัยภายนอกกำแพงเมือง เป็นพื้นที่เกษตรกรรม มีบ้านเรือนราษฏรตั้งอยู่ด้านนอกของคลองรอบกรุง มีคลองขุดในรัชกาลที่ 1คือ คลองมหานาค<br /></span><span style="color:#00cccc;">ในสมัยรัชกาลที่ 1-3</span> <span style="color:#cc6600;">พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ การจัดระเบียบการปกครองยังคงยึดถือตามแบบอย่างสมัยอยุธยาตอนปลาย มีดังนี้</span> <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5497790352008253282" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 121px; CURSOR: hand; HEIGHT: 103px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRC5xVnA_J4vvdYP5bfAz69W3PUm2-geLqkhDRzcXwkPBEEht8c3kCiEKxGF-o4IpQyWyq-ZjHTYtZzfjRjR72Ud58HlefVhOT-ie1lvY1zwuCHIDq8LQ0AsfzdWL3yQ420yw53_yw5JOQ/s320/1.jpg" border="0" /></div><div><br /><br /><span style="color:#00cccc;">การปกครองส่วนกลาง</span> <span style="color:#cc6600;">มีเสนาบดีทำหน้าที่บริหารราชการ ได้แก่<br />สมุหกลาโหม มีอำนาจบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ ทั้งทหารและพลเรือน มียศและราชทินนามว่า เจ้าพระยามหาเสนา ใช้ตราคชสีห์ เป็นตราประจำตำแหน่ง<br />สมุหนายก มีอำนาจบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือ ทั้งกิจการทหารและพลเรือนเทียบเท่ากระทรวงมหาดไทยในปัจจุบัน มียศและราชทินนามว่า เจ้าพระยาจักรี หรือเจ้าพระยาบดินทร์เดชานุชิต ใช้ตราราชสีห์เป็นตราประจำตำแหน่ง </span></div><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5497790997427703890" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 129px; CURSOR: hand; HEIGHT: 82px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiWWQ1amjybUHYVJrh_9yaDaap8zXhzzg-ZgJBYdOOFBNaSIsYhttmGR-HI1YK5BUk48kWODjQUdXWkN_zVLm4LmpV8_BMFKV2eelRzEvde1lb-_2LvAGhGa8_BUex24C-G02JKXrz4Ijsj/s320/2.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#00cccc;">เสนาบดีจตุสดมภ์</span> <span style="color:#cc6600;">เป็นตำแหน่งรองลงมา ประกอบด้วย</span><br /><span style="color:#cc33cc;">-กรมเวียง</span> <span style="color:#cc6600;">หรือกรมเมือง เสนาบดี คือ พระยายมราช มีหน้าที่ดูแลกิจการทั่วไปในพระนคร</span><br /><span style="color:#cc33cc;">-กรมวัง</span> <span style="color:#cc6600;">เสนาบดี คือ พระยาธรรมา มีหน้าที่ดูแลพระราชวังและตั้งศาลชำระความ</span><br /><span style="color:#cc33cc;">-กรมคลังหรือกรมท่า</span> <span style="color:#cc6600;">เสนาบดี คือ พระยาราชภักดี, พระยาศรีพิพัฒน์ หรือพระยาพระคลังมีหน้าที่ด้านการเงิน การคลัง และการต่างประเทศ<br /></span><span style="color:#cc33cc;">-กรมนา</span> <span style="color:#cc6600;">เสนาบดี คือ พระยาพลเทพ มีหน้าที่ดูแลไร่นาหลวง และเก็บภาษีข้าว</span></div><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5497792188001570066" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 131px; CURSOR: hand; HEIGHT: 106px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjr7d5hBrwlI5MVe8gsFtH1jnIFs7O6YhIYWIKbpzDh-vbsBKSnMlyR7J4l7urxesxXsoILWK51NgQpmpboVSKN15IivAkPb3AtrMX73JDr7XwSV2Vmybv2RS6tXi9425oiuLUS_cWCwCjq/s320/4.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#00cccc;">การปกครองส่วนภูมิภาค</span> <span style="color:#cc6600;">หรือการปกครองหัวเมือง<br />หัวเมืองฝ่ายเหนือ (รวมทั้งหัวเมืองอีสาน)อยู่ในความรับผิดชอบของสมุหนายก หัวเมืองฝ่ายเหนือแบ่งฐานะตามระดับความสำคัญ ดังนี้<br /></span><span style="color:#cc33cc;">-หัวเมืองชั้นใน(หัวเมืองจัตวา)</span> <span style="color:#cc6600;">อยู่ไม่ห่างไกลจากราชธานี มีเจ้าเมือง หรือ "ผู้รั้ง"เป็นผู้ปกครอง</span><br /><span style="color:#cc33cc;">-หัวเมืองชั้นนอก(เมืองชั้นตรี โท เอก)</span> <span style="color:#cc6600;">มีขุนนางชั้นสูงหรือพระบรมวงศานุวงศ์เป็นผู้ปกครอง ได้แก่ เมืองพิษณุโลก นครสวรรค์ พิจิตร ฯลฯ<br />หัวเมืองฝ่ายใต้ อยู่ในความรับผิดชอบของสมุหกลาโหม นับตั้งแต่เมืองเพชรบุรีลงไปจนถึงนครศรีธรรมราช ไชยา พังงา ถลาง และสงขลา เป็นต้น มีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นนอกทั้งสิ้น<br />หัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออกของอ่าวไทย<br />เป็นหัวเมืองชั้นนอก ได้แก่ นนทบุรี สมุทรปราการ สาครบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ฯลฯ อยู่ในความรับผิดชอบของพระคลังหรือกรมท่า<br /></span><span style="color:#00cccc;">การปกครองประเทศราช</span><br /><span style="color:#cc6600;">ฐานะของประเทศราช คือ เมืองของชนต่างชาติต่างภาษา มีกษัตริย์ของตนเองเป็นผู้ปกครอง มีหน้าที่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามกำหนดและส่งทหารมาช่วยเมื่อเมืองหลวงมีศึกสงคราม<br />ประเทศราชของไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีทั้งดินแดนล้านนา ลาว เขมรและหัวเมืองมลายู ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงแสน หลวงพระบาง เวียงจันทน์ จำปาศักดิ์ เขมร ปัตตานี ไทรบุรี กลันตัน ฯลฯ </span></div><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5497792457187527554" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 135px; CURSOR: hand; HEIGHT: 101px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7Qbu3Fe3T6lZolsvU5XNvpDOqZ98STSm0cBrh0OJhNsFcYZ-ryRxviUuIZIabcZxECx6Kl8wX3qdvmbaZSZSHzdLSR98mcm5dI04iWzL0uYsfs6FA66ZcREtfOGl-SMyqt0TJ0orzT4V9/s320/5.jpg" border="0" /><br /><span style="color:#00cccc;">การปรับปรุงกฏหมายและการศาล</span><br /><span style="color:#cc33cc;">กฏหมายตราสามดวง</span> <span style="color:#cc6600;">พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯให้รวบรวมและชำระกฏหมายเก่าที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และคัดลอกไว้ 3 ฉบับ ทุกฉบับประทับตราคชสีห์ ราชสีห์ และตราบัวแก้ว จึงเรียกว่ากฏหมายตราสามดวง<br />กฏหมายตราสามดวง หรือประมวลกฏหมายรัชกาลที่ 1 ใช้เป็นหลักปกครองประเทศมาจนถึงรัชกาลที่ 5 ก่อนที่จะมีการปฏิรูปกฏหมายไทยและการศาลให้เป็นระบบสากล</span></div><div><span style="color:#33cc00;">ที่มา </span><a href="http://www.kullawat.net/jot2/index.html"><span style="color:#ffcc33;">www.kullawat.net/jot2/index.html</span></a></div><div><span style="color:#33cc00;">จัดทำโดย น.ส. นิรุชา พูลสวัสดิ์ เลขที่24 ชั้นม.4/4</span></div><div><span style="color:#33cc00;"><a href="http://quickr.me/qH63Lro">แบบทดสอบหลังเรียน</a></span></div></div></div></div></div></div>Worky In Lovehttp://www.blogger.com/profile/13254019465241228333noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2675407144234424394.post-88341478745160700782010-06-22T18:40:00.000-07:002010-06-26T21:23:35.074-07:00การปกคองสมัยกรุงธนบุรี<img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 99px; DISPLAY: block; HEIGHT: 124px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5485789180020098242" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDEhx-RdovJPinNZRCj8tkurCFzVSK0CmM2D6tGHpbZZQuzwdmMKBO_tbWwPjlwPNpeCT35Sxq8Ikx3lHgo98xSOu7roiYICNJ8rxxPwsXgoSsPtvwdKgbye4IkWtBiMjM_vdyayeZHDoA/s320/imagesCA5TARJR.jpg" /><span style="color:#ff6600;"><span style="font-size:130%;"><strong><span style="color:#cc33cc;">การกอบกู้เอกราช<br /></span></strong>เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีรับราชการเป็นพระยาตากในระหว่างสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง พระยาตากได้ถอนตัวจากการป้องกันพระนครพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่งเพื่อไปตั้งตัว โดยนำทัพผ่านบ้านโพสามหาร บ้านบางดง หนองไม้ทรุง เมืองนครนายก เมืองปราจีนบุรี พัทยา สัตหีบ ระยอง โดยกลุ่มผู้สนับสนุนพระยาตากได้ยกย่องให้ให้เป็น "เจ้าชาย" และตีได้เมืองจันทบุรีและตราด เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2310<br />ในเวลาใกล้เคียงกัน ฝ่ายกองทัพพม่าได้คงกำลังควบคุมในเมืองหลวงและเมืองใกล้เคียงประมาณ 3,000 คน โดยมีสุกี้เป็นนายกอง ตั้งค่ายอยู่ที่บ้านโพธิ์สามต้น พร้อมกันนั้น พม่าได้ตั้งนายทองอินให้ไปเป็นผู้ดูแลรักษาเมืองธนบุรีไว้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอาณาจักรอยุธยาจะสิ้นสภาพลงไปแล้ว แต่ยังมีหัวเมืองอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้รับความเสียหายจากศึกสงคราม หัวเมืองเหล่านั้นจึงต่างพากันตั้งตนเป็นใหญ่ในเขตอิทธิพลของตน ส่วนทางด้านพระยาตากเองก็สามารถรวบรวมกำลังได้จนเทียบได้กับหนึ่งในชุมนุมทั้งหลายนั้น โดยมีจันทบุรีเป็นฐานที่มั่น<br />ต่อมา พระยาตากจึงนำกำลังที่รวบรวมประมาณ 5,000 คน ตีเมืองธนบุรีและอยุธยาคืนจากข้าศึก เสร็จแล้วจึงสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา และทรงสร้างเมืองหลวงใหม่ คือ กรุงธนบุรี<br /></span></span><span style="font-size:180%;color:#cc66cc;"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 110px; DISPLAY: block; HEIGHT: 101px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5485789350232229314" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiRHLEJPrWJDZksGGNCq1sTTNJJ8WeaErr6D_DCHCEdnkKjDS-4Hm-OiBdnsoxqAvlaIotsMQSMFDs1gHZpnz-pYjm-Ug3L_D7q2gaZx0pFRgo7mvh9ZlIibdCQ0Z-wNFxNnnQv8DqXomL6/s320/imagesCAGZV8RA.jpg" /></span><span style="color:#ff6600;"><span style="font-size:130%;"><strong><span style="color:#cc66cc;">การรวมชาติและการขยายตัว</span><br /></strong>ครั้นเมื่อพระเจ้ามังระแห่งอาณาจักรพม่าทรงทราบข่าวเรื่องการกอบกู้เอกราชของไทย พระองค์จึงมีพระบรมราชโองการให้เจ้าเมืองทวายคุมกองทัพมาดูสถานการณ์ในดินแดนอาณาจักรอยุธยาเดิม เมื่อปลาย พ.ศ. 2310 แต่ก็ถูกตีแตกกลับไปโดยกองทัพธนบุรี ซึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงนำทัพมาด้วยพระองค์เอง<br />ต่อมา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดให้จัดเตรียมกำลังเพื่อทำลายคู่แข่งทางการเมือง เพื่อให้เกิดการรวมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ในปี พ.ศ. 2311 ทรงมุ่งไปยังเมืองพิษณุโลกเป็นแห่งแรก ทว่า กองทัพธนบุรีพ่ายต่อกองทัพพิษณุโลก ณ ปากน้ำโพ จึงต้องเลื่อนการโจมตีออกไปก่อน แต่ภายหลังเจ้าพิษณุโลกถึงแก่พิราลัย ชุมนุมพิษณุโลกอ่อนแอลงและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเจ้าพระฝางแทน<br />สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้เปลี่ยนเป้าหมายไปยังชุมนุมเจ้าพิมาย เนื่องจากทรงเห็นว่าควรจะปราบชุมนุมขนาดเล็กเสียก่อน กรมหมื่นเทพพิพิธสู้ไม่ได้ ทรงจับตัวมายังกรุงธนบุรี และถูกประหารระหว่างเดือนตุลาคม-เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2311 เมื่อขยายอำนาจไปถึงหัวเมืองลาวแล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพยายามใช้พระราชอำนาจของพระองค์ช่วยให้ นักองราม เป็นกษัตริย์กัมพูชา โดยพระองค์ทรงโปรดให้ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เป็นแม่ทัพไปตีกัมพูชา แต่ไม่สำเร็จ<br />ในปี พ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีศุภอักษรไปยังสมเด็จพระนารายณ์ราชา เจ้ากรุงเขมร โดยให้ส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามประเพณี แต่สมเด็จพระนารายณ์ราชาปฏิเสธ พระองค์ทรงขัดเคืองจึงให้จัดเตรียมกองกำลังไปตีเมืองเสียมราฐ และเมืองพระตะบอง อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พระองค์ได้ส่งพระยาจักรีนำกองทัพไปปราบเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อทรงทราบข่าวทัพพระยาจักรีไปติดขัดที่ไชยา จึงทรงส่งทัพหลวงไปช่วย จนตีเมืองนครศรีธรรมราชได้เมื่อเดือน 10 ฝ่ายแม่ทัพธนบุรีในเขมรไม่ได้ข่าวพระเจ้าแผ่นดินมานาน จึงเกรงว่าบ้านเมืองจะไม่สงบ รีบยกกองทัพกลับบ้านเมืองเสียก่อน และทำให้การโจมตีเขมรถูกระงับเอาไว้<br />ในปี พ.ศ. 2313 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ทรงยกกองทัพขึ้นไปปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง ตีได้เมืองพิษณุโลก และตามไปตีเมืองสวางคบุรี เจ้าพระฝางสู้ไม่ได้ ชุมนุมฝางจึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรธนบุรี<br /></span></span><span style="color:#ff6600;"><span style="font-size:130%;"><strong><span style="color:#cc66cc;">การสิ้นสุด</span><br /></strong>ช่วงปลายรัชกาล เกิดการรัฐประหารแย่งชิงบัลลังก์จากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เจ้าพระยาจักรีทราบข่าวก็รีบกลับมายังพระนคร เมื่อสืบสวนเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ข้าราชการก็ฟ้องร้องว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นเหตุ เนื่องจากทรงมีสติฟั่นเฟือน ในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2325 เจ้าพระยาจักรีจึงเข้าควบคุมสถานการณ์ และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี<br /></span></span><div><div><div><span style="font-size:130%;color:#ff6600;"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 103px; DISPLAY: block; HEIGHT: 121px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5485788998763634546" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj8DaKQSBs2urLDtSRb-t2BQaQaAg28HYcYPK12R2H-50-3xrl_Bunh_TApMKZ2yZM9cnqc2fc8oqxNOTXB1zhLbUdmmkKuYtENwz2KYX67vnsJMpALjyQWLagl5R_1nu4um3rqUEow6pip/s320/imagesCA2Z2C6G.jpg" /></span><span style="color:#ff6600;"><span style="font-size:130%;"><strong><span style="color:#cc66cc;">การปกครอง</span><br /></strong>การปกครองในสมัยกรุงธนบุรีนั้น ยืดถือแบบการแบบกรุงศรีอยุธยา โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้<br /><span style="color:#33cc00;">การปกครองส่วนกลาง</span><br />กรุงธนบุรีเป็นศูนย์กลาง มีอัครมหาเสนาบดีตำแหน่ง " เจ้าพระยา " จำนวน 2 ท่าน ได้แก่<br />1 สมุหนายก เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือน เป็นผู้ดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือ ทั้งในราชการฝ่ายทหารและพลเรือน ในฐานะเจ้าเสนาบดีกรมมหาดไทย ผู้เป็นจะมียศเป็น "เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์" หรือที่เรียกว่า "ออกญาจักรี"<br />2 สมุหพระกลาโหม เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหาร เป็นผู้ดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งปวง ยศนั้นก็จะมี "เจ้าพระยามหาเสนา" หรือที่เรียกว่า "ออกญากลาโหม"<br />ส่วน<span style="color:#33cc00;">จตุสดม</span>ภ์นั้นยังมีไว้เหมือนเดิม มีเสนาบดีตำแหน่ง " พระยา " จำนวน 4 ท่าน ได้แก่<br />1. กรมเวียง หรือ นครบาล มีพระยายมราชทำหน้าที่ดูแล และ รักษาความสงบเรียบร้อยภายในพระนคร<br />2. กรมวัง หรือ ธรรมาธิกรณ์ มีพระยาธรรมาธิกรณ์ ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในเขตพระราชฐาน<br />3. กรมคลัง หรือ โกษาธิบดี มีพระยาโกษาธิบดี ทำหน้าที่ดูแลการซื้อขายสินค้า ภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลหัวเมืองฝ่ายตะวันออกด้วย<br />4. กรมนา หรือ เกษตราธิการ มีพระยาพลเทพ ทำหน้าที่ดูแลการเกษตรกรรม หรือ การประกอบอาชีพของประชาชน<br /><span style="color:#33cc00;">การปกครองส่วนภูมิภาค</span><br />หัวเมืองชั้นใน จะมีผู้รั้งเมือง เป็นผู้ปกครอง จะอยู่รอบๆไม่ไกลจากราชธานี<br />เมืองพระยามหานคร จะแบ่งออกได้เป็น เมืองเอก โท ตรี จัตวา มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครอง<br />เมืองประเทศราช คือเมืองที่จะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้กรุงธนบุรี ซึ่งในขณะนั้น จะมี นครศรีธรรมราช เชียงแสน เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน พะเยา แพร่ น่าน ปัตตานี ไทรบุรี ตรังกานู มะริด ตะนาวศรี พุทไธมาศ พนมเปญ จำปาศักดิ์ หลวงพระบาง และ เวียงจันทน์ ฯลฯ<br /></span></span><span style="color:#ff6600;"><span style="font-size:130%;"><strong><span style="color:#cc66cc;">เศรษฐกิจ<br /></span></strong>ในช่วงต้นรัชกาล สภาพบ้านเมืองเสียหายจากสงครามกับพม่าอย่างหนัก มีการขาดแคลนอาหารเนื่องจากขาดการทำนามานาน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสละทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์และท้องพระคลังเพื่อซื้อข้าวมาบรรเทาความอดอยากของผู้คนทั้งหลาย และยังเป็นการกระตุ้นให้ชาวบ้านที่หนีไปอยู่ตามป่าเขากลับมาอาศัยอยู่ในกรุงด้วย<br />นอกจากนี้ พระองค์ยังได้ทรงทำนุบำรุงการค้าขายทางเรือกับต่างชาติ เนื่องจากไม่อาจพึ่งรายได้จากภาษีอากรจากผู้คนที่ยังคงตั้งตัวไม่ได้ อีกทั้งการส่งเสริมการขายสินค้าพื้นเมืองยังเป็นการสร้างงานให้กับชาวบ้าน โดยพระองค์ได้ทรงพยายามผูกไมตรีกับจีนเพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์ทางการค้ามากยิ่งขึ้น<br /></span></span><strong><br /><span style="font-size:130%;color:#ff6600;"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 123px; DISPLAY: block; HEIGHT: 84px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5485789267674733986" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh0B631-Yb7iL6W0opPwAf5rAaMbYASqTl-vhBzjbfDLBmWFR65HZfCecZryRJpjlEMUou0GIaH-KK7-v12qjfZxiG4MFpSAS6AFVo5VKJ9F2s0klmelO4jIVsoPakCppLpoBpiL7CzmQPZ/s320/imagesCAA7256H.jpg" /><span style="color:#cc66cc;">สังคม</span><br /></span></strong><span style="font-size:130%;color:#ff6600;">สภาพสังคมไทยสมัยกรุงธนบุรี มีลักษณะคล้ายคลึงกับสมัยอยุธยา คือมีการแบ่งชนชั้นออกเป็น<br />1.พระมหากษัตริย์ เป็นชนชั้นสูงสุดในสังคม<br />2.พระบรมวงศานุวงศ์<br />3.ขุนนาง<br />4.ไพร่ เป็นชนชั้นที่มีมากที่สุดในสังคม<br />5.ทาส เป็นชนชั้นต่ำสุดในสังคม ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายเงินมาก<br />หลังจากบ้านเมืองแตกแยก เพราะการล่มสลายของอาณาจักรอยุธยาแล้ว เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีได้รวบรวมอาณาจักรเป็นปึกแผ่น พม่าจึงเล็งเห็นว่า ไม่ต้องการให้อาณาจักรสยามเจริญได้อีก จึงต้องมีการรบราญกันอยู่บ่อย การเรียกกำลังพลจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันการหลบหนี พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงตรากฎหมายการสักเลกขึ้น โดยไพร่ชายใดอายุถึงกำหนด ต้องสักเลก เพื่อให้สามารถตรวจสอบจำนวนคนได้ และถ้าหากมีการหลบหนีเมื่อใด อาจจะมีโทษถึงประหารชีวิต โดยพระเจ้ากรุงธนบุรีจะเป็นผู้ตัดสินคดีด้วยตัวของพระองค์เอง ส่วนชนชั้นอื่น ๆ ที่เหลือนั้นก็มีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับอยุธยา </span></div><div><span style="font-size:130%;color:#ff6600;"><a href="http://quickr.me/OX3RYKE">แบบทดสอบหลังเรียน</a></span></div><div><span style="font-size:130%;color:#ff6600;"></span> </div><div><span style="font-size:130%;color:#ff6600;">จัดทำโดย น.ส. นิรุชา พูลสวัสดิ์ ชั้น ม.4/4 เลขที่ 24</span></div></div></div>Worky In Lovehttp://www.blogger.com/profile/13254019465241228333noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2675407144234424394.post-77092801899716453042010-05-30T07:08:00.001-07:002010-05-30T07:29:23.655-07:00ประวัติวันวิสาขบูชา<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOvNBbTGZMhdV3I2rf1crZaIa92mh1o7P1pzH-7SgnoY-36vCOgcPILnuylL6bmVvAKrxO3ALTqBjTO1NX8z0-KsPSCmmAMrTZlfDp0HQFzc6mh9Wu6NYdGwdpXKq3Zy77WydgzmWIZotL/s1600/L40YPCAEZQCG2CA8ZH06ECA7DLKNMCAY6HC1SCAJC5APLCA7LJQYXCAPS0Q1MCAIL6VGCCANUFECHCAVYQVRJCAKGJAFJCAUJRO2QCAO8XY3ECAVZQSO6CAMXDPH6CARRL537CA2QX4DECAMWDWUR.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5477066124061847490" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 119px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOvNBbTGZMhdV3I2rf1crZaIa92mh1o7P1pzH-7SgnoY-36vCOgcPILnuylL6bmVvAKrxO3ALTqBjTO1NX8z0-KsPSCmmAMrTZlfDp0HQFzc6mh9Wu6NYdGwdpXKq3Zy77WydgzmWIZotL/s320/L40YPCAEZQCG2CA8ZH06ECA7DLKNMCAY6HC1SCAJC5APLCA7LJQYXCAPS0Q1MCAIL6VGCCANUFECHCAVYQVRJCAKGJAFJCAUJRO2QCAO8XY3ECAVZQSO6CAMXDPH6CARRL537CA2QX4DECAMWDWUR.jpg" border="0" /></a><span style="color:#33cc00;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff0000;">วันวิสาขบูชา</span> หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า 3 ประการ คือ เป็นวันประสูติ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และปรินิพพาน<br /></span></span><div><div><span style="color:#33cc00;"><span style="font-size:130%;">ความหมาย คำว่า "วิสาขบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 วิสาขบูชา ย่อมาจาก " วิสา - ขบุรณมีบูชา " แปลว่า " การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ " ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นกลางเดือน 7<br /><span style="color:#ff0000;">ความสำคัญ</span> วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือเกิด ได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ ได้ปรินิพพาน คือ ดับ เกิดขึ้นตรงกันทั้ง 3 คราวคือ<br />1. เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติ ที่พระราชอุทยานลุมพินีวัน ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับเทวทหะ เมื่อเช้าวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี<br />2. เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี หลังจากออกผนวชได้ 6 ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย </span></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5477065302090454994" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 99px; CURSOR: hand; HEIGHT: 122px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-YRapOzvuPB7Ek258TkyWoz2K5vqodblzxI_tVcMh4DcGdSEqr9hGs1jWBVUYIC94oTczGLhmJpq61jfKeKhGTE7S_bEEyYEFKnND_fsLfGPQ5xIW53cHRor6BMQdJuRlhyphenhyphenX7hbpE9_Xa/s320/9W6NHCA3UPCVPCABY1OWQCATQJ7XPCACI2IAMCAAY5G2UCAEC69ZFCAHMF4KGCAS1QYGSCAJVO5VACANJ9DPYCAGYX51XCABI5PV4CA5VURIMCAL5QNOBCA8S7KYYCA1F7I29CA5LVHZCCAGO74UU.jpg" border="0" /><br /><span style="font-size:130%;">3. หลังจากตรัสรู้แล้ว ได้ประกาศพระศาสนา และโปรดเวไนยสัตว์ 45 ปี พระชนมายุได้ 80 พรรษา ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อวันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ณ สาลวโนทยาน ของมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ในเมือง กุสีนคระ) แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย<br />นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ที่เหตุการณ์ทั้ง 3 เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีช่วงระยะเวลาห่างกันนับเวลาหลายสิบปี บังเอิญเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน 6 ดังนั้นเมื่อถึงวันสำคัญ เช่นนี้ ชาวพุทธทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิตได้พร้อมใจกันประกอบพิธีบูชาพระพุทธองค์เป็นการพิเศษ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ ของพระองค์ท่าน ผู้เป็นดวงประทีปของโลก</span> <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5477066587182295138" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 127px; CURSOR: hand; HEIGHT: 135px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEisAsbfGf6ZYsdAxxWdpVnllnpU_jWrYFIAtR_O6uWyNiZ2-PoZ3vieeTMgUHam187VqGAmELcMpeun9xU1FKDeHatCF9KqLejh2Esmdfg49QKvtRsx8RqeskF2JqosPetQfVznsPjkWEw4/s320/AMKUNCAD24F3GCAW1HMB2CAWMP0VMCAX8WX3ECAMKA1XACARB204ECA6UTHVFCAY7VM0ZCA57NO5GCA6W01O6CANPQR0ECA8L6J9ACA2FHY29CAU9MR34CAZREDAXCAYJHGP2CAX9YDRXCANCF7SY.jpg" border="0" /><br /><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff0000;">ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า ข อ ง วั น วิ ส า ข บู ช า ใ น ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย<br /></span>วันวิสาขบูชานี้ ปรากฏตามหลักฐานว่า ได้มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งสันนิษฐานว่า คงจะได้แบบอย่าง มาจากลังกา กล่าวคือ เมื่อประมาณ พ.ศ. 420 พระเจ้าภาติกุราช กษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาอย่าง มโหฬาร เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา กษัตริย์ลังกาในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็ทรงดำเนินรอยตาม แม้ปัจจุบันก็ยังถือปฏิบัติอยู่<br />สมัยสุโขทัยนั้น ประเทศไทยกับประเทศลังกามีความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนาใกล้ชิดกันมากเพราะพระสงฆ์ชาวลังกา ได้เดินทางเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา และเชื่อว่าได้นำการประกอบพิธีวิสาขบูชามาปฏิบัติในประเทศไทยด้วย<br />ในหนังสือนางนพมาศได้กล่าวบรรยากาศการประกอบพิธีวิสาขบูชาสมัยสุโขทัยไว้ พอสรุปใจความได้ว่า " เมื่อถึงวันวิสาขบูชา พระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชบริพาร ทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ตลอดทั้งประชาชนชาวสุโขทัยทั่วทุก หมู่บ้านทุกตำบล ต่างช่วยกันทำความสะอาด ประดับตกแต่งพระนครสุโขทัยเป็นการพิเศษ ด้วยดอกไม้ของหอม จุดประทีปโคมไฟแลดูสว่างไสวไปทั่วพระนคร เป็นการอุทิศบูชาพระรัตนตรัย เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน พระมหากษัตริย์ และบรมวงศานุวงศ์ ก็ทรงศีล และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ครั้นตกเวลาเย็น ก็เสด็จพระราช ดำเนิน พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และนางสนองพระโอษฐ์ตลอดจนข้าราชการทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ไปยังพระ อารามหลวง เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน<br />ส่วนชาวสุโขทัยชวนกันรักษาศีล ฟังธรรมเทศนา ถวายสลากภัต ถวายสังฆทาน ถวายอาหารบิณฑบาต แด่พระภิกษุ สามเณรบริจาคทรัพย์แจกเป็นทานแก่คนยากจน คนกำพร้า คนอนาถา คนแก่ คนพิการ บางพวกก็ชวนกันสละทรัพย์ ปล่อยสัตว์ 4 เท้า 2 เท้า และเต่า ปลา เพื่อชีวิตสัตว์ให้เป็นอิสระ โดยเชื่อว่าจะทำให้คนอายุ ยืนยาวต่อไป "</span> <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5477066459691692194" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 92px; CURSOR: hand; HEIGHT: 124px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9rVz0ETqoonuvJLgnxTkjayZ5QZ3iK8_sWgkFRwokK5wYxRSxVh1XzWBoQkBJRPUaC5rMAfcFsxkeOzgFuHImJrBe4FXTPQIuBa06qdlUoxYyeeYoPogqPPWSCAS4g07qDF-JyFuk-UXQ/s320/VA99CCAB16NGLCALLZ9F6CA1Y2TEKCAG2AKK6CAYX1UZ6CAT641NTCAI8LP8NCA1YVAWWCAZFOAL4CA9BOFLPCALG9UG5CA7PL5P5CANAQWR2CA9C3BYNCAIWHPY1CASGW96ECA0NYYJ0CA7N71HO.jpg" border="0" /><br /><span style="font-size:130%;">ในสมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ด้วยอำนาจอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ เข้าครอบงำประชาชนคนไทย และมีอิทธิพลสูงกว่าอำนาจของพระพุทธศาสนา จึงไม่ปรากฎหลักฐานว่า ได้มีการประกอบพิธีบูชาในวันวิสาขบูชา จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2360) ทรงดำริกับ สมเด็จพระสังฆราช (มี) สำนักวัดราชบูรณะ มีพระราชประสงค์จะให้ฟื้นฟู การประกอบพระราชพิธีวันวิสาขบูชาขึ้นใหม่ โดย สมเด็จพระสังฆราช ถวายพระพรให้ทรงทำขึ้น เป็นครั้งแรกในวันขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ. 2360 และให้จัดทำตามแบบอย่างประเพณีเดิมทุกประการ เพื่อมีพระประสงค์ให้ประชาชนประกอบการบุญการกุศล เป็นหนทางเจริญอายุ และอยู่เย็นเป็นสุขปราศจากทุกข์โศกโรคภัย และอุปัทวันตรายต่างๆ โดยทั่วหน้ากัน<br />ฉะนั้น การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชาในประเทศไทย จึงได้รื้อฟื้นให้มีขึ้นอีกครั้งหนึ่งในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 และถือปฏิบัติมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน </span></span></div><div><span style="color:#33cc00;"></span></div><div><span style="font-size:130%;color:#33cc00;"><a href="http://quickr.me/qaopTkO">แบบทดสอบหลังเรียน</a></span></div><div><span style="font-size:130%;color:#33cc00;"></span></div><div><span style="color:#33cc00;"><span style="font-size:130%;">ที่มา </span><a href="http://www.thaigoodview.com/"><span style="font-size:130%;">http://www.thaigoodview.com/</span></a></span></div><div><span style="font-size:130%;color:#33cc00;"></span></div><div><span style="font-size:130%;color:#33cc00;">จัดทำโดย น.ส. นิรุชา พูลสวัสดิ์ เลขที่ 24 ชั้น ม.4/4</span></div>Worky In Lovehttp://www.blogger.com/profile/13254019465241228333noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2675407144234424394.post-57225700648471350552010-05-30T04:17:00.000-07:002010-05-30T05:13:13.953-07:00การปกครองสมัยอยุธยา<span style="font-size:130%;color:#ff0000;"><span style="color:#ffff00;">การปกครองสมัยอยุธยามีดังนี้<br /></span><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5477021426784589106" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 130px; CURSOR: hand; HEIGHT: 83px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDlf7K97glZ4ke32d7rUt8lXtGvP3OEgurRH4y6uxQOQLJhq4LQ987mix-SN8VhVUKT5ir87xZ1N7-mwlaXO0nSa6P3cRVVuy-8G6D8MsZOjNySvKJgz822B6V2OUWqkWSaPEsowEDL17v/s320/A6S82CAX468LXCAOI163HCA95MBDNCAQJQ83UCAQ8YFM3CA1V6JI9CA3BCJILCAWZL7GCCAEKO5ZZCAOFLZOVCASH0CPKCA9948S7CA663NNICADWVRI3CA0FZ1PCCA1R7O67CAA2Q8CRCALQ3XPG.jpg" border="0" /><span style="color:#33cc00;">การเมืองการปกครองสมัยอยุธยาตอนต้น</span><br /><span style="color:#ff6600;"><span style="color:#cc33cc;">1. การปกครองส่วนกลาง</span><br /></span>พระมหากษัตริย์ ปกครองแบบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง คือจตุสดมภ์<br />จตุสดมภ์ แบ่งเป็น<br />กรมเวียง - มี ขุนเวียง เป็นผู้ดูแล มีหน้าที่ รักษาความสงบสุขของราษฏร<br />กรมวัง - มี ขุนวัง เป็นผู้ดูแล เป็นหัวหน้าฝ่าย ราชสำนักการพิจารณาพิพากษาคดี<br />กรมคลัง - มี ขุนคลัง เป็นผู้ดูแล มีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของแผ่นดินที่ได้จากการเก็บส่วยอากร<br />กรมนา - มี ขุนนา เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลการทำไร่ นา และสะสมเสบียงอาหารของ พระนคร<br /><span style="color:#cc33cc;">2. การปกครองหัวเมือง<br /></span>อยุธยาเป็นเมืองหลวง เป็นจุดของศูนย์รวมอำนาจการปกครอง ล้อมรอบด้วยเมืองลูกหลวง ประกอบด้วย ทิศเหนือ เมืองลพบุรี ทิศตะวันออก เมือง นครนายก ทิศใต้ เมือง นครเขื่อนขันธ์ และทิศตะวันตก เมือง สุพรรณบุรี<br />ถัดออกมาคือ หัวเมืองชั้นใน ได้แก่ สิงห์บุรี ปราจีนบุรี ชลบุรี และเพชรบุรี และเมืองประเทศราช เช่น เมือง นครศรีธรรมราชและเมืองพิษณุโลก </span><div><div><div><br /></div><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5477024073914978962" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 122px; CURSOR: hand; HEIGHT: 68px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjh-ed-6RjpRL8ls6epItqWY7-xm2DUYsxTcNNCJV8Od8cfNBkN7v-L_8dlWwk9O4M8CAppbyX4N32PHrkOkeVrDjhJmrK5jCgmAubWoeOJXNInPvUqQQ6ZS9VhRSZKMP8W7vLgYnwrnK9i/s320/WYZHXCA2NCX4NCALAYU8QCAZ9CFR7CA6EXNNLCA60D9CKCAWD3MGGCAXFC1C9CAHRK22SCAPNAO08CAHAFVLUCAGD38BICAGQ3HOWCAE8KNM3CAIDUDGFCA7ADX7VCAK4MK70CAYR0RSOCAKU6DXR.jpg" border="0" /><span style="color:#33cc00;">การปกครองสมัยอยุธยาตอนกลาง</span><br />1991 - 2231<br />การปกครองเริ่มตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นต้นมา หลังจากที่ได้ผนวกเอาอาณาจักรสุโขทัยมาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา โดยมีลักษณะสำคัญ 2 ประการคือ<br />1. จัดการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง<br />2. แยกกิจการฝ่ายพลเรือนกับฝ่ายทหารออกจากกัน<br /><span style="color:#cc33cc;">การปกครองส่วนกลาง<br /></span>สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โปรดฯให้มีตำแหน่งสมุหกลาโหมรับผิดชอบด้านการทหาร นอกจากนี้ยังได้ทรงตั้งหน่วยงานเพิ่มขึ้นมา อีก 2 กรม คือ<br />กรมมหาดไทย มีพระยาจักรีศรีองครักษ์เป็นสมุหนายก มีฐานะเป็นอัครมหาเสนาบดี มีหน้าที่ควบคุมกิจการพลเรือนทั่วประเทศ<br />กรมกลาโหม มีพระยามหาเสนาเป็นสมุหพระกลาโหม มีฐานะเป็นอัครมหาเสนาบดี มีหน้าที่ควบคุมกิจการทหารทั่วประเทศ<br />นอกจากนี้ใน 4 กรมจตุสดมภ์ที่มีอยู่แล้ว ทรงให้มีการปรับปรุงเสียใหม่ โดยตั้งเสนาบดีขึ้นมาควบคุมและรับผิดชอบในแต่ละกรมคือ<br />กรมเมือง (เวียง) มีพระนครบาลเป็นเสนาบดี<br />กรมวัง มีพระธรรมาธิกรณ์เป็นเสนาบดี<br />กรมคลัง มีพระโกษาธิบดีเป็นเสนาบดี<br />กรมนา มีพระเกษตราธิการเป็นเสนาบดี<br /><span style="color:#cc33cc;">การปกครองส่วนภูมิภาค</span><br />สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงยกเลิกการปกครองแบบเดิมทั้งหมด แล้วจัดระบบใหม่ดังนี้<br />1 .) หัวเมืองชั้นใน ยกเลิกเมืองหน้าด่านแล้วเปลี่ยนเป็นเมืองชั้นใน มีฐานะเป็นเมืองจัตวา ผู้ปกครองเมืองเหล่านี้เรียกว่า ผู้รั้ง พระมหากษัตริย์จะเป็นผู้แต่งตั้งขุนนางในกรุงศรีอยุธยา ทำหน้าที่ผู้รั้งเมือง ต้องรับคำสั่งจากในราชธานีไปปฏิบัติเท่านั้นไม่มีอำนาจในการปกครองโดยตรง 2) หัวเมืองชั้นนอก (เมืองพระยามหานคร) เป็นหัวเมืองที่อยู่ภายนอกราชธานีออกไป จัดเป็นหัวเมืองชั้นตรี โท เอก ตามขนาดและความสำคัญของหัวเมืองนั้น เมืองเหล่านี้มีฐานะเดียวกันกับหัวเมืองชั้นใน คือขึ้นอยู่ในการปกครองจากราชธานีเท่านั้น<br />3) หัวเมืองประเทศราช ยังให้มีการปกครองเหมือนเดิม มีแบบแผนขนบธรรมเนียมเป็นของตนเอง มีเจ้าเมืองเป็นคนในท้องถิ่นนั้น ส่วนกลางจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในด้านการปกครอง แต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวาย<br /><span style="color:#cc33cc;">การปกครองส่วนท้องถิ่น</span> </span></div><div><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">แบ่งการปกครองเป็นหน่วยย่อย โดยแบ่งเป็น<br />1) บ้าน หรือหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้าน มีผู้ว่าราชการเมืองเป็นหัวหน้า จากการเลือกตั้งจากหลายบ้าน<br />2) ตำบล เกิดจากหลายๆ หมู่บ้านรวมกันมีกำนันเป็นหัวหน้ามีบรรดาศักดิ์เป็น พัน<br />3) แขวง เกิดจากหลายๆ ตำบลรวมกัน มีหมื่นแขวงเป็นผู้ปกครอง<br />4) เมือง เกิดจากหลายๆ แขวงรวมกัน มีผู้รั้งหรือพระยามหานครเป็นผู้ปกครอง<br />ต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ได้มีการปรับปรุงระเบียบการปกครองทางด้านการทหาร ได้แก่<br />1. การจัดทำสารบัญชี (หรือสารบาญชี) เพื่อให้ทราบว่ามีกำลังไพร่พลมากน้อยเพียงใด<br />2. สร้างตำราพิชัยสงคราม ซึ่งเป็นตำราที่ว่าด้วยการจัดทัพ การเดินทัพ การตั้งค่าย การจู่โจมและการตั้งรับ ส่วนหนึ่งของตำราได้มาจากทหารอาสาชาวโปรตุเกส<br />3. การทำพิธีทุกหัวเมือง ซักซ้อมความพร้อมเพรียงเพื่อสำรวจจำนวนไพร่พล (คล้ายกับพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณต่อธงชัยเฉลิมพลในปัจจุบัน)<br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5477023426038496946" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 104px; CURSOR: hand; HEIGHT: 120px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEilgO36eW9GHn0x1E2Pv-8SLK4UWQxx2-FGWKi24Fvm82w_AIxhXGgVXKNQGqyFqA7iJOop6uOPR3FrorxGL0oDyRMhyphenhyphenlgCjAHR31CSAamynbWb0t9QCmDweHUcldmit3bM07eaJrIBjYlq/s320/NGM8ZCA5C6T5ECASXV2FACA2QP6WLCAUGF11NCAVREIW8CARPW4WXCA8UO1K1CAGTKC79CAEF9IQWCA362LD9CAWCER88CAMRTX92CA3E1MU0CANEOC3ZCAAYISB6CA2X3EP0CAW8G7YSCAPAAXC1.jpg" border="0" /><span style="color:#33cc00;">การปกครองสมัยอยุธยาตอนปลาย<br /></span>สมัยอยุธยาตอนปลาย เริ่มในสมัยพระเพทราชา สมัยนี้ยึดการปกครองแบบที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงปรับปรุงแต่ได้แบ่งแยกอำนาจสมุหกลาโหมและสมุหนายกเสียใหม่ คือ<br />สมุหกลาโหม - ดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งหมดทั้งที่เป็นฝ่ายทหารและพลเรือน<br />สมุหนายก - ดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งหมดที่เป็นฝ่ายทหารและพลเรือน<br /><span style="color:#cc33cc;">รูปแบบการปกครอง</span><br />ของอยุธยาใช้เรื่อยมาจนถึงรัชกาลที่ 5 จึงได้มีการปฏิรูปการปกครองเสียใหม่<br />ได้แยกกิจการฝ่ายทหารและพลเรือนออกจากกัน แต่การกำหนดอำนาจบังคับบัญชาดูแลกิจการทั้งสองฝ่ายตามเขตพื้นที่ ซึ่งเป็นการถ่วงดุลอำนาจของขุนนางด้วยกัน เพื่อจะได้ไม่เป็นภัยต่อราชบัลลังก์และแบ่งเป็นหัวเมืองฝ่ายต่างๆ ดังนี้<br />- หัวเมืองฝ่ายเหนือ ขึ้นตรงต่อสมุหนายก<br />- หัวเมืองฝ่ายใต้ ขึ้นตรงต่อสมุหพระกลาโหม<br />- หัวเมืองชายทะเลตะวันออก ขึ้นตรงต่อเสนาบดีกรมคลัง <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5477021673093156050" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 93px; CURSOR: hand; HEIGHT: 142px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgaT7zQLKzYVkih0R154oGpeFHLV25jiTpeJqWWCRElNkpGfrhdbPsHTzdUyzL0Dl5RPbHtV9dFgia9uBDbJn3B3Gf_S0Bw18xaZ2qNYONqKCdEd5FPSTers8dyTJ5PsmthmHVhR6ulTcw/s320/LA51ECA9X8ZOKCA0YKI34CAODWWW1CAUIHRHGCAS81QH6CAURP5G8CAUD1O1FCA395B0JCAD5GY71CAETS393CAFVHLNVCAE501JICA212H94CATEV22PCAOGMSVHCAQADXAXCAWSFIQQCAR6A6FD.jpg" border="0" /></span></div></div><br /><p><span style="color:#ff0000;"><a href="http://quickr.me/LOCB15P">แบบทดสอบหลังเรียน</a></span></p><p><span style="color:#ff0000;">ที่มา</span> <a href="http://www.project611.exteen.com/">www.project611.exteen.com</a></p><p><span style="color:#ff0000;">จัดทำโดย น.ส. นิรุชา พูลสวัสดิ์ เลขที่ 24</span></p>Worky In Lovehttp://www.blogger.com/profile/13254019465241228333noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2675407144234424394.post-24797319764778166462010-05-25T05:08:00.000-07:002010-05-25T18:47:02.339-07:00ประวัติการปกครองสมัยสุโขทัย<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiiymduED0ALWfm5zHBi4Z9U1Jbmib7FRz81DGqjyYckcCCfSt1OGbKE7teJhC0ZCMFbt1IgcdTdqf1vkfBkOCVlrN7SD3jpRhyphenhyphen65YiLFCo7PIckFv6AxUoQohLXRRCdIsvfc1j5RI4RE-G/s1600/images.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475184155587198306" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 113px; CURSOR: hand; HEIGHT: 108px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiiymduED0ALWfm5zHBi4Z9U1Jbmib7FRz81DGqjyYckcCCfSt1OGbKE7teJhC0ZCMFbt1IgcdTdqf1vkfBkOCVlrN7SD3jpRhyphenhyphen65YiLFCo7PIckFv6AxUoQohLXRRCdIsvfc1j5RI4RE-G/s320/images.jpg" border="0" /></a><span style="font-size:130%;"><span style="color:#33cc00;">การปกครองสมัยสุโขทัยแบ่งออกเป็น 2 แบบดังนี้<br /></span><br /></span><div><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;">1.แบบพ่อปกครองลูก </span><a title="( ปิตุลาธิปไตย ) (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=(_%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2_)&action=edit&redlink=1"><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;">( ปิตุลาธิปไตย )</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"><br />สุโขทัยมีลักษณะการปกครองแบบพ่อปกครองลูก ผู้ปกครองคือ พ่อขุน ซึ่งเปรียบเสมือนพ่อที่จะต้องดูแลคุ้มครองลูก ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ทรงโปรดให้สร้างกระดิ่งแขวนไว้ที่หน้าประตูพระราชวัง เมื่อประชาชนมีเรื่องเดือดร้อนก็ให้ไปสั่นกระดิ่งร้องเรียน พระองค์ก็จะเสด็จมารับเรื่องราวร้องทุกข์ และโปรดให้สร้างพระแทนมนังคศิลาอาสน์ได้กลางดงตาล ในวันพระจะนิมนต์พระสงฆ์มาเทศน์สั่งสอนประชาชน หากเป็นวันธรรมดาพระองค์จะเสด็จออกให้ประชาชนเข้าเฝ้าและตัดสินคดีความด้วยพระองค์เอง การปกครองแบบพ่อปกครองลูก(</span><a title="ปิตุลาธิปไตย (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2&action=edit&redlink=1"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">ปิตุลาธิปไตย</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">)ใช้ในสมัยกรุงสุโขทัยตอนต้น<br /></span></div><br /><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"></span><br /><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff0000;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475184465438683282" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 124px; CURSOR: hand; HEIGHT: 93px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiRb9cuWnPWOQBaPnkeq_h4w1zHPw8oL682mY4JfuLLNXVZhtwS_ki4NvCvBLmIz8vUvXWQgv5BrVJ4NybPTccwN8zRjjUCdbuDp6mmy3YmwUKtaKXUlercGWMZqM_OXD2BOTmYz8mE6pq0/s320/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99.jpg" border="0" /></span><span style="color:#ffcc00;"> 2.แบบ</span></span><a title="ธรรมราชา (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2&action=edit&redlink=1"><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;">ธรรมราชา</span></a><span style="color:#ff0000;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ffcc00;"><br /></span>การปกครองแบบธรรมราชา หมายถึง พระราชาผู้ปฏิบัติธรรมหรือ กษัตริย์ผู้มีธรรม ในสมัยของ</span></span><a title="พระมหาธรรมราชาที่ ๑" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_%E0%B9%91"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">พระมหาธรรมราชาที่ ๑</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"> มีกำลังทหารที่ไม่เข้มแข็ง ประกอบกับอาณาจักรอยุธยาที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ได้แผ่อิทธิพลมากขึ้น พระองค์ทรง เกรงภัยอันตรายจะบังเกิดแก่อาณาจักรสุโขทัย หากใช้กำลังทหารเพียงอย่าง เดียว พระองค์จึงทรงนำหลักธรรมมาใช้ในการปกครอง โดยพระองค์ทรงเป็น แบบอย่างในด้านการปฏิบัติธรรม ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา นอกจากนั้นพระ มหาธรรมราชาที่ ๑ ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ที่ปรากฏแนวคิดแบบธรรมราชาไว้ด้วย การปกครองแบบธรรมราชา ใช้ในสมัยกรุงสุโขทัยตอนปลาย ตั้งแต่พระมหาธรรมราชาที่ ๑ - ๔<br /></span><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">ด้านการปกครองส่วนย่อยสามารถแยกกล่าวเป็น 2 แนว ดังนี้<br />ในแนวราบ<br />จัดการปกครองแบบพ่อปกครองลูก กล่าวคือผู้ปกครองจะมีความใกล้ชิดกับประชาชน ให้ความเป็นกันเองและ</span><a title="ความยุติธรรม (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1&action=edit&redlink=1"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">ความยุติธรรม</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">กับประชาชนเป็นอย่างมาก เมื่อประชาชนเกิดความเดือดร้อนไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถร้องเรียนกับพ่อขุนโดยตรงได้ โดยไปสั่นกระดิ่งที่แขวนไว้ที่หน้าประตูที่ประทับ ดังข้อความในศิลาจารึกปรากฏว่า "…ในปาก</span><a title="ประตู" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B9"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">ประตู</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">มี</span><a title="กระดิ่ง (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87&action=edit&redlink=1"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">กระดิ่ง</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">อันหนึ่งไว้ให้ ไพร่ฟ้าหน้าใส…" นั่นคือเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถมาสั่นกระดิ่งเพื่อแจ้งข้อร้องเรียนได้<br />ในแนวดิ่ง<br />ได้มีการจัดระบบการปกครองขึ้นเป็น 4 ชนชั้น คือ<br />พ่อขุน เป็นชนชั้นผู้ปกครอง อาจเรียกชื่ออย่างอื่น เช่น </span><a title="เจ้าเมือง (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87&action=edit&redlink=1"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">เจ้าเมือง</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"> </span><a title="พระมหาธรรมราชา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">พระมหาธรรมราชา</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"> หากมีโอรสก็จะเรียก "</span><a title="ลูกเจ้า (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2&action=edit&redlink=1"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">ลูกเจ้า</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">"<br /></span><a title="ลูกขุน (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99&action=edit&redlink=1"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">ลูกขุน</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"> เป็น</span><a title="ข้าราชบริพาร (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%A3&action=edit&redlink=1"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">ข้าราชบริพาร</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"> ข้าราชการที่มีตำแหน่งหน้าที่ช่วงปกครอง</span><a title="เมืองหลวง" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">เมืองหลวง</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"> </span><a title="หัวเมืองใหญ่น้อย (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2&action=edit&redlink=1"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">หัวเมืองใหญ่น้อย</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"> และภายใน</span><a title="ราชสำนัก (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81&action=edit&redlink=1"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">ราชสำนัก</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"> เป็นกลุ่มคนที่ใกล้ชิดและได้รับการไว้วางใจจากเจ้าเมืองให้ปฏิบัติหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ไพร่ฟ้า<br /></span><a title="ไพร่" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%88"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">ไพร่</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">หรือ</span><a title="สามัญชน (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%99&action=edit&redlink=1"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">สามัญชน</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"> ได้แก่ราษฎรทั่วไปที่อยู่ใน</span><a title="ราชอาณาจักร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">ราชอาณาจักร</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"> (</span><a title="ไพร่ฟ้า (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2&action=edit&redlink=1"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">ไพร่ฟ้า</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">)<br /></span><a title="ทาส" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%AA"><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">ทาส</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"> ได้แก่ชนชั้นที่ไม่มีอิสระในการดำรงชีวิตอย่างสามัญชนหรือไพร่ (อย่างไรก็ตามประเด็นทาสนี้ยังคงถกเถียงกันอยู่ว่ามีหรือไม่)<br /></span><br /><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475185416732967058" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 103px; CURSOR: hand; HEIGHT: 120px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFn3CmKItl034ymnGnOFEXC-clX-gNLvbyp0-5mvKrLwyEUMlPZE2UUX45Pi4WVD4DH2u-jnPPKaPP9z81JfsJElcKn2wyszUQ7VszAoBrDazUfsw8rSU8uO6lF__3zqMqWDLhd_gEWAfL/s320/B8M30CAID3GRACAZMRXKBCAZ2VIO0CANRO4FRCA686HK4CA4DOY2YCA7PSP41CAWSRG07CABZJFXECA9XW1Q8CAX8RCRICAA39C7ECAAZCB85CAVYT0GLCA44HMKICAQGXSDYCAE27Z6SCADD03PL.jpg" border="0" /> <span style="color:#33cc00;">ลักษณะเศรษฐกิจและการเกษตร</span><br /><br /></span><span style="color:#ff0000;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ffcc00;">ลักษณะทางเศรษฐกิจ<br /></span>อาณาจักรสุโขทัยมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจอยู่ที่การเกษตรเป็นหลัก โดยมีการค้าและการทำเครื่องสังคโลกเป็นส่วนประกอบสำคัญ จากหลักฐานต่าง ๆ เท่าที่ได้ค้นพบและศึกษาค้นคว้ากันมาเศรษฐกิจของอาณาจักรสุโขทัยน่าจะมีเพียงแค่พอกินพอใช้ในอาณาจักรเท่านั้น มิได้มีความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์มากเท่ากับอาณาจักรอยุธยา ทั้งนี้เพราะสภาพภูมิศาสตร์และทำเลที่ตั้งของอาณาจักรสุโขทัยไม่เอื้อต่อการเพาะปลูกและการเป็นศูนย์การค้ามากเท่ากับอาณาจักรอยุธยาซึ่งมีอาณาบริเวณอยู่ในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง สภาพทางเศรษฐกิจที่ไม่อุดมสมบูรณ์มากนี้เป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้อาณาจักรสุโขทัยไม่สามารถมีอำนาจทางการเมืองอยู่ได้เป็นเวลานาน</span></span><br /><span style="font-size:130%;"></span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475185829312408562" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 124px; CURSOR: hand; HEIGHT: 93px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEidJ6yQnIPW9ORfYL5GquW6-6hFw7IcwFLjxAJsZlrUTsOUlmZ5h0Uy-NJi7mojPBd-QxEQqZp2WOV4RV05asgVg8XY5667F6ye1dC5YPLJNVRly57jTzIW62bb1gtHCXfvIsFKvgq9Shoi/s320/V00CRCAC9K3V3CAUU8EKYCAHJZ7YPCA8FHUSOCAJSPRAPCABK9NC0CAZJDIPACA2KYC6YCAX53HQ1CASMLF9ICAYG85ILCA08N7GPCAN0FEE0CAD93HBACALB13J8CAZUBMNCCAZI0A16CANKM7K1.jpg" border="0" /><br /></span><div><span style="color:#ff0000;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ffcc00;">สังคมการเกษตร</span><br />การเกษตรอาณาจักรสุโขทัยมีสภาพพื้นที่ราบที่ใช้ในการเพาะปลูกแบ่งอย่างกว้าง ๆ ได้เป็น2 ลักษณะ คือ ที่ราบลุ่มแม่น้ำและที่ราบเชิงเขา บริเวณที่ราบลุ่มที่สำคัญ คือ ที่ราบลุ่มแม่น้ำยมและแม่น้ำ ซึ่งมีอาณาบริเวณตั้งแต่อุตรดิตถ์ ศรีสัชนาลัย สุโขทัย เรื่อยลงมาจนถึงนครสวรรค์พื้นที่แถบนี้มีลักษระเป็นที่ราบลุ่มกว้างใหญ่และเนื่องจากลำน้ำยมและลำน้ำน่านมีปริมาณน้ำจำนวนมากไหลบ่ามาจากภูเขาทางภาคเหนือ ทำให้การระบายน้ำลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างไม่ทันยังผลให้มีน้ำท่วมที่ราบลุ่มแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านนี้ ซึ่งบริเวณนี้ควรจะทำการเพาะปลูกได้ดีนี้กลับได้ผลไม่ดีเท่าที่ควรและทางทิศตะวันตกของเมืองสุโขทัยเรื่อยมาจนถึงเมืองกำแพงเพชร เป็นพื้นที่ดอน ดินไม่ใคร่อุดมสมบูรณ์ จึงทำให้การเพาะปลูกไม่ได้ผลดีนักจากสภาพภูมิศาสตร์ดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกษตรในอาณาจักรสุโขทัยต้องใช้ระบบชลประทานเข้ามาช่วยด้วยจุดประสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อควบคุมน้ำที่ไหลบ่ามาจากบริเวณภูเขา และน้ำที่ล้นมาตามลำน้ำต่างๆ ให้ไหลไปตามแนวทางควบคุมบังคับที่ทำไว้หรือมิฉะนั้นก็เพื่อเก็บกักน้ำไว้ภายในหุบเขาแล้วขุดคลองระบายน้ำเข้าไปในพื้นที่ที่ทำการ เพาะปลูกเขื่อนเก็บกักน้ำที่สร้างขึ้น เพื่อประโยชน์ทางชลประทานในสมัยสุโขทัยคือเขื่อนสรีดภงด์ หรือทำนบพระร่วงเป็นเขื่อนดินขนาดใหญ่สร้างอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเมืองสุโขทัย นอกจากทำนบเก็บกักน้ำแล้วยังมีการสร้างเหมืองฝายและขุดคูคลองส่งน้ำเป็นแนวยาวตั้งแต่ศรีสัชนาลัยผ่านสุโขทัยออกไปถึงกำแพงเพชรด้วยระบบชลประทานดังกล่าวข้างต้นทำให้ผืนดินโดยรอบเมืองสุโขทัยพื้นที่ระหว่าง ศรีสัชนาลัย สุโขทัย และกำแพงเพชร เป็นผืนดินอันกว้างใหญ่ที่ใช้ทำการเพาะปลูกได้<br />พืชสำคัญที่ปลูกกันมากในอาณาจักรสุโขทัยจนกลายเป็นพืชหลัก คือ ข้าวรองลงมา ได้แก่มะม่วง มะพร้าว มะขาม ขนุน หมากพลู พืชไร่และไม้ผลอื่นๆ ผลผลิตที่ได้คงมีปริมาณเพียงแค่การบริโภคภายในอาณาจักรเท่านั้น และคงจะไม่อุดมสมบูรณ์ถึงขั้นที่จะเลี้ยงประชากรจำนวนมาก ๆได้ในด้านรัฐบาลได้สนับสนุนให้ประชาชนทำการเพาะปลูกด้วยการยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ผู้หักร้างถางพงทำการเกษตรในผืนดินต่าง ๆ และที่ดินนั้นยังเป็นมรดกตกทอดมาถึงลูกหลานได้อีกด้วย ดังปรากฏในความตอนหนึ่งของศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่า "สร้างป่าหมากผ่าพลูทั่วเมืองนี้ทุกแห่ง ป่าพร้าวก็หลายในเมืองนี้ ป่าลางก็หลายในเมืองนี้..........ใครสร้างได้ไว้แก่มัน""ไพร่ฟ้าหน้าใส ลูกเจ้าลูกขุนผู้ใดแล้ล้มตายหายหว่า เหย้าเรือนพ่อเชื้อเสื้อคำมันช้างขอ ลูกเมียเยียข้าวไพร่ฟ้าข้าไทป่าหมากป่าพลูพ่อเชื้อมัน ไว้แก่ลูกมันสิ้น"<br />การที่ต้องลงทุนจัดระบบชลประทานเพื่อการเพาะปลูก ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ ทางการเกษตรของอาณาจักรสุโขทัยขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่จะสามารถกักเก็บไว้ได้นานเพียงไหน และความสามารถในการบำรุงรักษาระบบชลประทาน ผลผลิตทางการเกษตรจึงไม่ใช่ผลผลิตที่คงที่ บางครั้งสุโขทัยต้องสั่งสินค้าข้าวจากดินแดนทางใต้แถบลพบุรีขึ้นไปเลี้ยงประชากรในอาณาจักร ด้วยเหตุนี้อาณาจักรสุโขทัยจึงไม่มีฐานพลังทางเศรษฐกิจที่มั่งคั่งพอที่จะตั้งตัวเป็นอาณาจักรใหญ่และมีอำนาจอยู่เป็นเวลานานได้</span></span></div><br /><div><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"></span></div><br /><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff0000;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475185990504730642" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 143px; CURSOR: hand; HEIGHT: 73px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhN2C4WrbqGVazjQbdHiei89frRoTjPmAZek2kp5EO-EXfEEQyuZH4NM6SXB8tipqsAflfGooKru2zq3Rn1KBsBvW8RtMmPHoHbDeMQDABX0w90keo81YF3LlYUSLVkna8ywPc2S8KgaMaW/s320/J9HONCAUFQHSCCA1RH219CASOVLJQCABK21CVCA0SW6X7CAO6C7GACAQTXGKOCAXFTPWPCAXENAP3CA2RUY0XCA6LF9MMCA2UFC9ACAYB05Y1CAT7287JCAUIY4PMCAK05AQYCAIWEVDWCAKMO3OZ.jpg" border="0" /></span></span><br /><a href="http://quickr.me/qwO6HlL"><span style="font-size:130%;">แบบทดสอบหลังเรียนที่นี่!!</span></a><br /><span style="font-size:130%;">ที่มา </span><a href="http://www.dopa.go.th/history/polith.htm"><span style="font-size:130%;">www.dopa.go.th/history/polith.htm</span></a><br /><br /><div><span style="font-size:130%;"></span></div><span style="font-size:130%;color:#33cc00;">จัดทำโดย น.ส. นิรุชา พูลสวัสดิ์ ม. 4/4 เลขที่ 24<br /></span><div></div>Worky In Lovehttp://www.blogger.com/profile/13254019465241228333noreply@blogger.com0